ก็ขนาดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ น้องปูของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านยกเครื่องระบบโลจิสติกส์ทั้งระบบ รวมแผนป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง ไม่ได้กู้ไปทำอีลุ่ยฉุยแฉกแจกเงินไร้เหตุผล กู้เพื่อแผนพัฒนาอนาคตของประเทศแท้จริง ศาลรัฐธรรมนูญในปี 2557 ยังวินิจฉัยให้ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเพราะไม่มีความเร่งด่วน ขัดวินัยการเงินการคลัง

แล้วนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท จะมีชะตากรรมเช่นไร เมื่อนานวันยิ่งเป็นลิงแก้แห สรุปล่าสุดจาก นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ก่อนยกคณะไปประชุม “เอเปค” ที่สหรัฐ จากเดิม คนอายุ 16 ปีขึ้นไป ได้รับแจกถ้วนหน้า ไร้เงื่อนไข รวม 56 ล้านคน ใช้เงินราว 5.6 แสนล้าน ย้ำหลายครั้ง ไม่กู้เงินแจกแน่ วัตถุประสงค์หลักคือกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดเงินครั้งเดียวให้เกิดพายุหมุน เหมือนปั๊มหัวใจคนไข้จากไอซียู ประมาณนั้น

ไป ๆ มา ๆ เงื่อนไขเพียบ ต้องมีเงินเดือนไม่เกิน 7 หมื่นบาทต่อเดือน หรือเงินฝากในบัญชีไม่เกิน 5 แสนบาท มีผู้ได้รับ 50 ล้านคน ลดไป 4.8 ล้านคน ซึ่งนายกฯ บอกว่า นี่คือ “กลุ่มคนรวย” ก็นะ ใครได้เงินเดือน 7 หมื่นบาทขึ้น ถือว่าสูงพอตัว อย่างน้อยก็ระดับผู้บริหารขึ้นไป แต่คนมีบัญชีเงินฝาก 5 แสน แล้วบอกรวยนี่สิ ใช้มาตรอะไรวัด ลองป่วยเข้า รพ.เอกชนไม่เกิน 3 วัน เงินก้อนนี้ไม่เหลือหลอแล้ว อย่างนี้รวยหรือ ไม่ต้องพูดถึงคนเกษียณอายุ ไม่มีเงินบำนาญ หรือประเภทเงินก้อนนี้เก็บออมมาทั้งชีวิต เป็นต้น

4.8 ล้านคนที่ว่า คงมีคนรวยแน่ ๆ แต่อีกไม่รู้กี่ล้านที่ชวดโดยไม่เป็นธรรม จู่ ๆ ถูกยัดเยียดให้รวยชนิดไม่รู้ตัวเหมือนที่จู่ ๆ รัฐบาลที่ผ่านมา จ้องตัดสิทธิเบี้ยเลี้ยงคนชรา 600 บาท ใครจะเอาต้องพิสูจน์ความจนก่อน ถูกก่นด่าทั่วทิศ จนต้องเลิกไปในที่สุด เงินหมื่นนี้ก็เช่นกัน

นอกจากเงื่อนไขนี้ ยังมีข้อห้ามยุ่บยั่บไปหมด ห้ามซื้อหวย เหล้าเบียร์ บุหรี่ กัญชา ของออนไลน์ ห้ามใช้หนี้ จ่ายค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน เฮ้อ…ใช้ได้ในอำเภอที่มีทะเบียนบ้าน (จากเดิมในรัศมี 4 กม.) ร้านค้าไม่ต้องจดแวต แต่ตอนเอาไปแลกเป็น “เงินสด” กับรัฐ ต้องมีแวต (นี่ก็อีก ร้านเล็ก ๆ เช่น รถเข็นหมูปิ้ง ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว กาแฟ อาหารถุง รถพุ่มพวง คงต้องเอาไปซื้อของจากร้านใหญ่ต่อ) ขณะเงินก้อนแรกให้ใช้ใน 6 เดือนผ่าน “แอปเป๋าตัง” (ซึ่งถูกต้องแล้ว)

ที่สำคัญ แหล่งที่มาของเงิน จากเดิมที่เคยบอก จะมาจาก 3 แหล่ง งบประมาณหนึ่งร้านค้า-ผู้ผลิตสินค้าที่ขายดีขึ้นแล้วกลับมาเสียภาษีให้รัฐมากขึ้นหนึ่ง รัฐบาลจะตัดงบซื้ออาวุธที่ล้นเกินหนึ่ง ที่สุดไม่ใช่สักอย่าง งบซื้ออาวุธบาทเดียวคงไม่ได้ตัด ก็ขนาดจีนผิดสัญญาขายเรือดำน้ำ 3 หมื่นล้านชัด ๆ รมว.กลาโหม สุทิน คลังแสง ยังช่วยบอกให้ว่า สัญญาจีทูจี ไม่ใช่สัญญา แค่ข้อตกลง จีนจึงไม่ผิด พระเจ้า…ที่ “เพื่อไทย” หมดปัญญาจะหาเงินมาใช้ในโครงการนี้ จึงไม่แปลก?!?

บอกตรง ๆ ก็เอาใจช่วยเพื่อไทยที่มีบทเรียนจาก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน แต่ต้องรักษาสัญญาที่หาเสียงไว้กับประชาชน ไม่งั้นอาจไม่เหลือเครดิต จึงต้องออกมาในรูป พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน เป็นงบผูกพัน 4 ปี พ.ค. 67 ถึง เม.ย. 70 แปลว่า ไม่ได้แจกหมื่นบาทหนเดียว แต่ทยอยแจกปีละ 2,500 บาท

สงสัยจะให้เกิดพายุเศรษฐกิจได้ยังไง

กระนั้นนายกฯ เศรษฐา ที่ควบเก้าอี้ รมว.คลัง ด้วย (หลายคนอาจลืมไปแล้ว) ก็พูดถึง เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ (ที่ไปร่วม 99 นักวิชาการคัดค้านนโยบายนี้) ว่า “ผู้ว่าการแบงก์ชาติบอกผมว่า ท่านนายกฯ กู้เลยดีกว่า หนี้สาธารณะตอนนี้อยู่ที่ 61% กู้ 5 แสนล้าน หนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 64% ยังไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้ 70% พอเศรษฐกิจฟื้นตัว จีดีพีจะโตขึ้น หนี้สาธารณะจะน้อยลงไป ขอให้มั่นใจรัฐบาลนี้หาเงินได้ ใช้เงินเป็น”

ขนาดนี้แล้ว ก็ไม่รู้ถ้าต้องขึ้นศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ศาลจะชี้ยังไง เพราะมองยังไง คือ กู้เงินมาแจก (กระตุ้นเศรษฐกิจ) ต่างจากพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านลิบลับ แล้วจะรอดหรือ หรือจะเป็นอย่างที่หนูไหม ศิริกัญญา ตันสกุล จากก้าวไกล และ รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ให้ความเห็นไว้ว่า จะอาศัยองค์กรอิสระเป็นบันไดลงโครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่ทำไม่ได้จริง

——————–
ดาวประกายพรึก