ถ้ามีการสำรวจความพอใจในผลงานบรรดารัฐมนตรี ที่ร่วมงานใน รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา เชื่อว่า “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ต้องอยู่ในลำดับต้น ๆ แน่ แถมยังยึดสโลแกนหน่วยงาน บำบัดทุกข์ บำรุงสุข อย่างเคร่งครัด

ด้วยภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลชีวิต ความเป็นอยู่ของประชาชน ถ้าหากได้คนที่ไม่ใส่ใจ ไม่ลงลึกในรายละเอียด บางทีก็ไม่สามารถ คลี่คลายความเดือดร้อนของชาวบ้านได้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “นายอนุทิน” ได้มอบนโยบายอนุญาตให้ผู้มีรายได้น้อย สามารถค้างค่าไฟได้ ในจำนวนเดือนที่มากขึ้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระประชาชน นำไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

สองหน่วยงานที่ดูแลการให้บริการไฟฟ้า ในเมืองหลวง และภูมิภาค ได้ตอบรับและพร้อมเดินหน้าอย่างเร็วที่สุด ส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ ซึ่งค้างค่าไฟ ไม่เกิน 300 บาทต่อเดือน จะสามารถค้างการจ่ายค่าไฟฟ้า ได้ 3 เดือน นโยบายนี้ได้ใจชาวบ้านไปเต็ม ๆ เพราะบางคนต้องแบกรับภาระหลายด้าน การช่วยยืดเวลาในการชำระค่าไฟ เท่ากับต่อลมหายใจให้ผู้มีรายได้น้อย

ส่วนแนวทางในการคลี่คลาย ปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายปกครองกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีเข้าตรวจสถานบันเทิงในพื้นที่เชียงใหม่ จนมีข่าวสองหน่วยงานจ้องเอาคืนกัน “นายอนุทิน” ยังมีบทบาทในการแก้ปัญหา ยืนยัน ฝ่ายปกครอง และ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดูแล แต่กรณีที่เกิดขึ้น ได้หารือกับ ผบ.ตร. และ อธิบดีกรมการปกครอง จะร่วมกันมี ชุดเฉพาะกิจร่วมปฏิบัติงาน ด้วยกันทั่วประเทศ

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเกิดการกลั่นแกล้งใคร หรือชิงกัน ทำงานเอาหน้าเอาตา เพื่อให้อีกฝ่ายเดือดร้อน ปัญหาจะได้หมดไป เพราะถึงอย่างไรต้องทำงานด้วยกัน และในระดับบนและผู้บริหารทุกคน มีความสัมพันธ์ที่ดี กันอย่างมาก และเมื่อพูดคุยกับ ผบ.ตร.ก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี ขณะที่ กระทรวงมหาดไทย ก็จะให้ความร่วมมือเต็มที่ จากนี้ไป ผู้ว่าราชการจังหวัด และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะประสานงาน และร่วมมือกันจัดระเบียบเพื่อให้สังคมสงบเรียบร้อย

ได้ฟังอย่างนี้ก็มั่นใจได้ว่า จากนี้ไปทั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง จะทำงานกันอย่างใกล้ชิด ไม่มีแย่งซีนไม่มีปาดหน้า ไม่มีการกลั่นแกล้งเพื่อหวังเอาคืน เพราะถ้าหากหน่วยงานภาครัฐไม่ทำงาน สอดประสานกัน ไม่มีเอกภาพ มุ่งเอาชนะคะคานกัน ผลเสียก็จะตกอยู่กับประเทศและประชาชน

คงต้องชื่นชม รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ที่รีบคลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง ไม่ให้ลุกลามบานปลาย เพราะทั้งกรมการปกครองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ต่างก็มีอำนาจหน้าที่ ดูแลสถานบันเทิง เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกัน จะร่วมมือในการทำงาน นั่นหมายความผลประโยชน์ จะตกอยู่กับประชาชน ไม่มีข่าวแย่งซีนกันทำงาน หรือสองหน่วยงานคอยขัดแข้งขัดขากัน ทำให้ภาพลักษณ์หน่วยงานภาครัฐมีปัญหากระทบกับนโยบายรัฐบาล

แม้กระทั่งการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพล “นายอนุทิน” ก็สั่งการให้กรมการปกครอง ติดตามอย่างใกล้ชิด ผู้มีอิทธิพลมีความเคลื่อนไหวที่เป็นภัยต่อสังคมหรือไม่ ซึ่งได้ทำมาตลอด แต่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ โดยการขึ้นบัญชีรายชื่อ รายงานพฤติการณ์ผู้มีอิทธิพล ใช้กฎหมายเข้าไปดำเนินคดี เพราะมีทั้งหน่วยติดตาม ตรวจสอบและเฝ้าระวัง

พร้อมกับประสานภาคส่วนอื่น ๆ เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร ช่วยกันปราบปรามยาเสพติด การฟอกเงิน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม ส่วนความคืบหน้าใน การควบคุมอาวุธปืน กรมการปกครองอยู่ระหว่างร่างกฎหมาย เสนอเข้า ครม. เพื่อนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ต้องยอมรับว่า ภารกิจกระทรวงมหาดไทย มีหลายมิติจริง ถ้าหากได้บุคคลที่เข้ามาดูแลนโยบาย ไม่ใส่ใจในปัญหา และไม่ได้ติดตามความเป็นไปของบ้านเมือง เชื่อได้ทำงาน ไม่ทันกับปัญหาที่เกิดขึ้น แน่ ๆ แม้กระทั่งขอให้ครอบครัวผู้ใช้แรงงานในอิสราเอลช่วยกันโน้มน้าวให้เดินทาง กลับประเทศไทย รัฐบาลพร้อมอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

ทำให้นึกถึงคำพูดที่นายอนุทิน เคยกล่าวว่า ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่เรามีรัฐบาลใหม่ เป็นปีที่เกิดสิ่งใหม่ ๆ คนไทย จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราก้าวพ้นวิกฤติด้านโรคระบาดมาแล้ว และเรากำลังฟื้นตัว รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ส่งเสริมการทำมาหากินของประชาชนทุกรูปแบบ ขอเพียงถูกกฎหมาย

คงต้องบอกว่า รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย มีส่วนสำคัญ ทำให้ ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน และ บ้านเมืองดีขึ้นจริง ๆ

—————
เขื่อนขันธ์