ณ วันนี้ แม้ “เซลส์แมน เศรษฐา” จะได้รับการยอมรับจากบรรดาภาคเอกชนโดยเฉพาะจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยให้คะแนนเกิน 100 คะแนน ไปแล้วก็ตาม
จากความตั้งใจในการทำงาน ในการแก้ไขปัญหา ตามคำปฏิญาณของเจ้าตัว ในวันเริ่มต้นทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อย่างเป็นทางการ ที่ว่า “จะทำงานแบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย”
แต่!! ความตั้งใจในการทำงาน ก็เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามสารพัด ทั้งที่เจ้าตัวเดินหน้าปฎิบัติภารกิจ “เซลส์แมน” ในต่างแดน แต่ปัญหาก็ยังคงตามติดตัวไปแบบไม่มีหยุดหย่อนด้วยเช่นกัน
สารพัดเรื่อง อย่างที่รู้ ๆ กันดีอยู่แล้ว ปัจจัยจากต่างประเทศที่ควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะความรุนแรงของการปะทะของกลุ่มฮามาสกับประเทศอิสราเอล ที่กำลังขยายวงกว้างกลายเป็นสงคราม
ด้วยผลพวงจากเหตุการณ์นี้ ก็ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทย ต้องเผชิญแรงขายจากบรรดานักลงทุน ดัชนีลงไปหลุด 1,400 จุด ในรอบเกือบ 3 ปี เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา
บรรดานักลงทุนต่างชาติ ต่างเทขายหุ้นไทยไป1,215.31 ล้านบาท และนับจากต้นเดือนตุลาคมขายไป 10,053.96 ล้านบาท และหากนับจากต้นปี 2566 ขายไปแล้วกว่า 167,224.46 ล้านบาท
หากนับย้อนหลังไปประมาณ 4 เดือน หรือเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.66 ตลาดหุ้นไทยก็เผชิญแรงเทขาย จนหลุด 1,500 จุด ในรอบกว่า 2 ปี เช่นกัน
จากสถิติย้อนหลัง 20 ปี จะพบว่า…หลังการเลือกตั้งรัฐบาล ตลาดหุ้นไทย มักตอบรับในเชิงบวกที่จะปรับตัวขึ้นได้ ใน 1 เดือน เฉลี่ย 2.15%
แม้ในปีนี้การเมืองจะมีความวุ่นวายพอสมควร แต่เมื่อมาดูผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยในเดือน ส.ค. ปรับตัวขึ้นได้ 0.6 % รับการตั้งรัฐบาลสำเร็จ ทำให้ 8 เดือนแรกติดลบเหลือ 6.2%
เพราะ…คาดหวังว่านโยบายของรัฐบาลใหม่จะช่วยกระตุกกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากการทุ่มเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงนโยบายที่เอื้อต่อความมั่นใจ อย่างการไม่เก็บภาษีการขายหุ้น!!
ในความเป็นจริง!! นโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา อย่างนโยบายเรือธง– แจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาทยังไม่คืบหน้า ผสมโรงเข้ากับเหตุการณ์ปะทะของกลุ่มฮามาสกับอิสราเอล ที่ยังไม่มีท่าทีจะลดความรุนแรงลง ก็ถล่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติขนเงินออกอย่างต่อเนื่อง
แถมยังมี “น้ำยา” แรงอย่าง “บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ” หรืออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงโอกาสของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด
เช่นเดียวกับท่าทีของประธานเฟดที่มียังกังวลต่อทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ในระดับสูง จึงทำให้หุ้นไทยปรับตัวลงถ้วนหน้าในช่วงปลายสัปดาห์ นำโดย ไฟแนนซ์ เทคโนโลยี วัสดุก่อสร้าง และกลุ่มแบงก์
การทำหน้าที่ของนายกฯเศรษฐา จะทำแบบไม่มีเหน็ดไม่มีเหนื่อย แม้ผ่านมาเพียงแค่ 2 เดือน แต่การปฎิบัติภารกิจแบบไม่มีวันหยุดที่ดูเหมือนทำงานมา 2 ปี ก็ไม่สามารถต้านทานแรงพายุจากต่างประเทศได้
ตราบใด ที่ความคาดหวังของคนไทยอย่างการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ยังไม่ชัดเจน คลุมเครือจากความไม่พร้อมสารพัด แถมยังถูกรุมกระหน่ำจากบรรดานักเศรษฐศาสตร์ บรรดานักเคลื่อนไหว ที่เล็งเห็นว่า นโยบายนี้จะทำให้ภาระการคลังหนักสาหัส รวมไปถึงความไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ที่สำคัญ!! ขนาดยังไม่มีความชัดเจน แต่หนทางการแปรเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากเงินดิจิทัล กลายมาเป็นการแลกเงินสดในอัตราส่วนลด 7 พันบาท 8 พันบาท ก็มีออกมาอย่างต่อเนื่อง
บรรดานักวิเคราะห์ ต่างคาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ หรือตั้งแต่วันที่ 24-27 ต.ค.นี้ น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,390-1,425 จุด แม้ทิศทางในเชิงลบจะจำกัด
แต่ปัญหาใหญ่… ก็คือเรื่องของสงคราม เพราะถ้าอิสราเอลบุกหนัก ความเสี่ยงกดดันราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น และอาจจะทำให้เป็นลบกับตลาดหุ้นในภาพรวมเข้าให้อีก
เหล่านี้!! แม้รัฐบาลไม่สามารถไปทำให้เบาลง ไม่สามารถไปกำกับดูแลได้ แต่รัฐบาลจะทำอย่างไร? เพื่อกระตุกแรงเชื่อมั่นให้กลับคืนมา…นั่นแหล่ะ!! คือคำตอบ
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”