ซึ่ง นพ.เสฐียรพงษ์ จันทวิบูลย์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่าตัดผ่านกล้องและ การผ่าตัดลดน้ำหนัก คลินิกโรคอ้วน โรงพยาบาลราชวิถี ลีสต์คร่าวๆ มาให้ก็อย่างเช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคเส้นเลือดหัวใจหรือสมองตีบตัน โรคกรดไหลย้อน กระดูกสันหลังหรือกระดูกเข่าเสื่อม เป็นต้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย
การรักษาด้วยการใช้ยา การออกกำลังกายหรือการรับประทานอาหารที่มีพลังงานต่ำ สามารถลดน้ำหนักได้ แต่ไม่สามารถรักษาหรือคงน้ำหนักให้ผู้ป่วยได้ตลอด จึงมีการรักษาด้วย “การผ่าตัด” ซึ่งสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า สามารถคงน้ำหนักได้เป็นระยะเวลานาน 7-10 ปีขึ้นไป
“ในผู้ป่วยที่มีดัชนีมวลกาย ไม่มาก สามารถพิจารณาลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายได้ แต่หากผู้ป่วยมีดัชนีมวลกายที่สูงมากมักมีข้อจำกัดในการออกกำลังกายเนื่องจากมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับโรคอ้วนร่วมด้วย และลำพังเพียงการออกกำลังกายและควบคุมอาหารมักไม่สามารถลดน้ำหนักได้มากเพียงพอที่จะทำให้หายจากโรคประจำตัวต่าง ๆ ได้”
นพ.เสฐียรพงษ์ อธิบายว่า การผ่าตัดลดความอ้วน คือการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง ร่วมกับลดการดูดซึมของกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก ลดฮอร์โมนความหิว ความอยากอาหาร อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดลดน้ำหนักนั้นไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน ดังนั้น แพทย์จะให้ข้อมูลกับคนไข้อย่างละเอียด ตรวจร่างกายดูความพร้อมและคัดกรองผู้ป่วยที่เหมาะสม ซึ่งมีข้อบ่งชี้ คือผู้ที่ลดความอ้วนด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล 1.ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 27.5 kg/m2 ร่วมกับมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วนที่ไม่สามารถควบคุมได้ 2.ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 32.5 kg/m2 ร่วมกับมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วน 3.ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 37.5 kg/m2
อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดจะมีแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy) การผ่าตัดแบบบายพาส (Roux-en-Y Gastric Bypass) และการผ่าตัดแบบใหม่ สลีฟพลัส (Sleeve Gastrectomy Plus Proximal Jejunal Bypass) การผ่าตัดแบบส่องกล้องที่ผสมผสานระหว่างการตัดกระเพาะแบบ Sleeve ร่วมกับการทำทางเชื่อมผ่านจากลำไส้เล็กส่วนต้นไปลำไส้เล็กส่วนกลางเพื่อลดการดูดซึมและกระตุ้นฮอร์โมนความอิ่มได้เร็วขึ้น ร่วมกับขนาดกระเพาะที่เล็กลงก็จะทำให้ระดับฮอร์โมนความหิวลดลง นอกจากนี้การทำทางเชื่อมอาหารระหว่างลำไส้เล็กส่วนต้นและส่วนกลาง ยังทำได้ง่ายกว่าและไม่มีความเสี่ยงเรื่องการเกิดแผลบริเวณรอยต่อซึ่งต่างจากการผ่าตัดแบบบายพาสที่มีแผลบริเวณรอยต่อกระเพาะกับลำไส้เล็กได้
“การผ่าตัดแบบสลีฟพลัส ช่วยน้ำหนักส่วนเกินลดลง 70-80% ในระยะเวลา 1 ปี กระเพาะอาหารขนาดลดลงโดยที่หูรูดและทางเดินอาหารยังคงเดิม ความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนน้อย ลดความเสี่ยงจากการขาดวิตามิน B12 และสารอาหาร ควบคุมน้ำหนักและรักษาโรคเบาหวานได้ดี ยังสามารถส่องกล้องทางเดินอาหารเช็กหรือตรวจกระเพาะได้”
นอกจากนี้ยังสามารถพิจารณาทำในผู้ป่วยที่ผ่าตัดแบบสลีฟมาแล้ว แต่อาจจะยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ เช่น น้ำหนักส่วนเกินลดลงน้อยกว่า 50% หรือในกรณีที่พบภาวะน้ำหนักฟื้นคืนหลังการผ่าตัดแบบสลีฟ หรือกรณีที่โรคเบาหวานยังไม่หายสามารถพิจารณาทำการผ่าตัดแบบสลีฟพลัสเพิ่มเติมได้
ส่วนข้อเสียคือ ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะกรดไหลย้อนรุนแรง เนื่องจากหลังการผ่าตัดขนาดกระเพาะที่ลดลงจะทำให้มีแรงดันในกระเพาะสูงขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จะเป็นกรดไหลย้อนได้ 15%
นพ.เสฐียรพงษ์ ยังบอกอีกว่า ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดไปมากกว่า 50 เคส สามารถลดน้ำหนักได้ดีมากและรักษาโรคเบาหวานได้ดีโดยที่ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อนใด ๆ หลังผ่าตัด ซึ่งเมื่อเทียบกับข้อมูลรายงานทางการแพทย์ของต่างประเทศตั้งแต่ปี 2010 ก็พบว่า ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจเหมือนกันและยังไม่พบภาวะแทรกซ้อนรุนแรงใด ๆ
ดังนั้น การรักษาโรคอ้วนด้วยการผ่าตัดแบบสลีฟพลัสเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคอ้วน เหมาะในผู้ป่วยที่น้ำหนักมากและมีโรคเบาหวานร่วมด้วย โดยแนะนำให้ปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เนื่องจากยังเป็นเทคนิคใหม่ที่ต้องอาศัยความชำนาญในการผ่าตัดและการเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย สนใจติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก โรคอ้วนผ่าตัดได้ By หมอฟง.
อภิวรรณ เสาเวียง