หลังจากตำแหน่งเจ้าของทีมมีการสับเปลี่ยน เชลซี ในยุคของ ‘ท็อดด์ โบห์ลี’ ใช้เงินไปแล้วกว่า 1 พันล้านปอนด์ เพื่อกว้านซื้อนักเตะเข้าสู่ทีม ซึ่งเม็ดเงินที่จ่ายไปนั้นเกิดขึ้นภายใน 3 ตลาดเท่านั้น โดยตลาดที่ทำให้แฟน ๆ ตั้งความหวังถึงพื้นที่หัวตารางได้ก็คงหนีไม่พ้นซัมเมอร์ล่าสุด ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ ใช้เงินกว่า 460 ล้านปอนด์ แต่ผลงานส่วนทางกับการคาดหวังของเหล่าแฟน ๆ อย่าว่าแต่หัวตารางแค่ครึ่งตารางบนยังไม่เห็นแม้แต่ชื่อ

แต่ถึงแม้ซัมเมอร์ล่าสุดจะจ่ายไปเยอะ แต่ก็หาเงินได้แยะเหมือนกัน ตัวเลขกว่า 260 ล้านปอนด์ ถูกโอนเข้ามายังบัญชีการเงินของสโมสรจากการขายนักเตะออกไป (ใช้เก่งก็หาเก่งนะจ๊ะ)

และต่อไปนี้คือมุมมองของแฟนบอลทั่วไป ถึงสาเหตุที่ทำให้ เชลซี ภายใต้หัวเรือใหญ่ที่ชื่อ ท็อดด์ โบห์ลี ยังไม่ปังเท่าที่ควร

นิโคลัส แจ๊คสัน

เน้นเข้าทำ ไม่เน้นจบสกอร์
‘การจบสกอร์’ คือปัญหาที่ เชลซี เป็นมาเนิ่นนาน จะเห็นว่าพวกเขาสามารถทำเกมบุกได้บ่อยครั้ง จังหวะการเข้าทำก็ดูดี แต่ไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นสกอร์ได้ หากมองในด้านสถิติ ‘สิงห์บลู’ ครองบอลเฉลี่ย 70% แต่มี Xg เฉลี่ยเพียงแค่ 1.77 เท่านั้น ยังดีที่ผู้เล่นที่เปอร์เซ็นต์ Xg มากที่สุด คือ นิโคลัส แจ็คสัน อยู่ที่ 3.85 แต่ก็ยังไม่อาจพูดว่าดีแบบเต็มปากเต็มคำได้ เพราะศูนย์หน้าค่าตัวราว 32 ล้านปอนด์ เพิ่งยิงได้ลูกเดียวเท่านั้น ถือเป็นตัวเลขที่ส่วนทางกับโอกาสพอสมควร ส่วนคนที่มีตัวเลขดูดีที่สุด คือ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ยิงไปแล้ว 2 ประตู ณ ตอนนี้ถือว่าเยอะที่สุดในทีม และมีตัวเลข Xg อยู่ที่ 2.08 ถือว่าไม่หนีกันมาก

จะบอกว่าเชลซี ยังต้องการตำแหน่ง ‘กองหน้าตัวเป้า’ อยู่ ก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเมื่อตลาดหน้าหนาวปีก่อนทีมมีการเซ็นต์สัญญาล่วงหน้ากับ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ไว้แล้วด้วยค่าตัว 52 ล้านปอนด์ ซึ่ง ‘ดาวยิงเลือดน้ำหอม’ ย้ายมาจริง ๆ ก็เมื่อช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ด้วยชะตาฟ้าลิขิตอาการบาดเจ็บก็ได้เข้าเล่นงานหลังลงเล่นได้เพียงเกมอุ่นเครื่องเท่านั้น ต้องมารอดูกันว่าหากเอ็นคุนคู สามารถกลับมาลงสนามได้ การจบสกอร์ของ ‘สิงห์บลู’ จะดีขึ้นมากแค่ไหน

ติอาโก ซิลวา

DNA เกมรับหายไปไหน
จะโทษแต่ศูนย์หน้าก็ไม่ได้ หากมองไปที่แผงหลังตอนนี้คนที่ไว้ใจได้มากที่สุดเห็นจะเป็น ติอาโก ซิลวา พี่ใหญ่ประจำทีม ที่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงไว้ได้ด้วยการลงเกมลีก 5 นัด แบบเต็มเวลา ด้วยวัย 38 ปี มันเกิดอะไรขึ้นทั้งที่ในทีมมีกองหลังวัยรุ่นมากมาย อาทิ เบอนัวต์ บาเดียชิล (22 ปี), ลีวาย โคลวิลล์ (20 ปี), อักเซิล ดิซาซี (25 ปี) และ มาล็อง ซาร์ (24 ปี) แต่ละคนก็มีค่าตัวที่ไม่ธรรมดาเลย เว้นไว้แค่ โคลวิลล์ ที่เป็นเด็กปั้นของสโมสร ทั้ง 4 คน ผลัดเปลี่ยนกันลงสนามอยู่ตลอดแต่ไม่มีใครสามารถแย่งตัวจริงของปราการหลังชาวบราซิลได้เลย อาจเป็นเพราะเกมรุกฝ้ายตรงข้ามเก่งกว่า เก๋ากว่า หรือแผงหลังวัยคะนองยังขาดประสบการณ์เลยต้องมีพี่ใหญ่ยืนบัญชา แต่นี้คือทีมที่เคยขึ้นชื่อเรื่องเกมรับเลยนะ จะไม่เหลือ DNA อยู่เลยหรอ

รีซ เจมส์

อาการบาดเจ็บเรื้อรัง
อีกปัญหาที่รุมเร้านักเตะของเชลซี มาอยู่ตลอด ณ ตอนนี้มีตัวหลักเจ็บอยู่พอสมควรไม่ว่าจะเป็นรีซ เจมส์, คาร์นีย์ ชุควูเอเมกา และ โนนี มาดูเอเก ทั้ง 3 คน ได้ลงสนามให้ต้นสังกัดบ้างแล้ว แต่ยังมีรายชื่อที่ต้องไปโรงพยาบาลก่อนที่จะลงสนามเสียอีก ไม่ว่าจะ เบอนัวต์ บาเดียชิล, มาร์คัส เบตติเนลลี, อาร์มันโด โบรยา, เวสลีย์ โฟฟานา, โรเมโอ ลาเวีย และ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู และมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น ในฤดูกาลก่อนเชลซี มีนักเตะบาดเจ็บอยู่เป็นจำนวนมาก จนแฟน ๆ สามารถนำรายชื่อมาจัดเป็นแผนการเล่นได้เลย ซึ่งหลังจาก ‘เสี่ยท็อดด์’ เข้ามามีการเปลี่ยนทีมแพทย์ไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่บอร์ดบริหารมองหาอาการบาดเจ็บส่งผลต่อฟอร์มของทีม โดยเป็นการปลดผู้ที่งานด้านนี้ให้สโมสรตั้งแต่ปี 2011 และมีการจ้างทีมงานกายภาพจากข้างนอกเข้ามาดูแลในส่วนนี้แทน

เมาริซิโอ โปเชตติโน

ผู้จัดการทีมยังไม่ตอบโจทย์?
ในยุคของ ‘เสี่ยท็อดด์’ นอกจากนักเตะจะเวียนไป เวียนมา ผู้จัดการทีมก็ไม่แพ้กัน เริ่มจากยกเลิกสัญญาโธมัส ทูเคิล หลังจากผลงานไม่เป็นดั่งหวัง ทำได้เพียง 10 คะแนน จากการลงสนาม 7 นัด อีกทั้ง ‘สิงห์บลู’ ต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญาให้กับกุนซือเมืองเบียร์อีกราว ๆ 13 ล้านปอนด์ เก่าไป ใหม่มา เกรแฮม พอตเตอร์ คือผู้ถูกเลือกโดยจะเซ็นสัญญายาวถึงฤดูกาล 2026-27 แต่เขารับหน้าที่คุมบังเหียนได้เพียง 6 เดือน ก็ต้องโบกมือลา ด้วยเหตุผลงานเลวร้ายอย่างต่อเนื่อง โดยมี บรูโน ซัลตอร์ เป็นกุนซือขัดตาทัพ ก่อนจะแต่งตั้งอดีตลูกหม้ออย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวจนจบฤดูกาล จนถึงมือของ เมาริซิโอ โปเชตติโน ที่ถึงตรงนี้ผลงานไม่ดีอย่างที่หลายคนคาดหวัง เรียกได้ว่าแค่เริ่มก็เสียวแล้ว