ซึ่งสำหรับผู้คนในวงการความยั่งยืนก็เช่นกัน ในปีนี้ก็มีงานเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับ SDG (Sustainable Development Goals), ESG (Environment Social Governance), BCG (Bio Circular Green), CSR (Corporate Social Responsibility), Net Zero และอื่น ๆ มากมายหลายงาน โดยงานเหล่านี้มีจัดขึ้นกันแทบทุกเดือน และบางเดือนก็มีงานเช่นนี้จัดขึ้นเดือนละหลาย ๆ ครั้ง แต่สำหรับผมแล้ว งาน SX เป็นงานที่มีความพิเศษที่พลาดไม่ได้

ทั้งนี้ เมื่อหลายวันก่อนนั้น ผมได้รับเชิญไปร่วมเป็นเกียรติในงาน แถลงข่าว SX Sustainability Expo 2023 “สมดุลที่ดี…เพื่อโลกที่ดีกว่า” โดยน่าจะเป็นงานที่ผู้คนในวงการความยั่งยืน ทั้งในประเทศและนานาชาติมารวมตัวกันมากที่สุดแห่งปี ซึ่งปีนี้น่าจะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยถ้าจำไม่ผิดนั้น แม้ปีแรกจะเป็นงานเล็ก ๆ จัดที่ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ แต่กลับมีผู้คนในวงการความยั่งยืนมารวมตัวกันตลอด 4 วันเต็ม โดยตอนนั้นงานน่าจะใช้ชื่อว่า TSX Thailand Sustainability Expo 2020

โดยผู้จัดตั้งใจจะเปิดทศวรรษแห่งการลงมือทำมากกว่าแค่พูดกันในเชิงนโยบาย ซึ่งขณะนั้นเรามีเวลาอีก 10 ปี คือตั้งแต่ปี 2020-2030 ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย SDG ซึ่งในงานนี้รวมเอาผู้คนที่ทำจริงที่มีผลงานจริง ๆ มาพูดคุยกันว่า ทำแล้วมีประสบการณ์อย่างไร อะไรคือปัญหาอุปสรรค และจะร่วมมือกันกู้โลกได้อย่างไร แต่ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตัว เราก็ถูกขัดจังหวะด้วยวิกฤติ covid-19 ที่หยุดโลกเอาไว้ ทำให้งานความยั่งยืนต่างก็ชะลอตัวลงหรือยกเลิกไป และปีต่อมาก็จำเป็นต้องจัดงานแบบออนไลน์ จนวิกฤติ covid-19 จางหายไป งานนี้ก็กลับมาจัดอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว ในช่วงเปิดตัวศูนย์ประชุมสิริกิติ์ใหม่ ๆ ซึ่งในปีนี้ศูนย์ประชุมเปิดบริการสมบูรณ์แบบแล้ว จึงน่าจะรองรับผู้ชมตลอดงานได้หลายแสนคน โดยปีนี้คาดว่าจะมีผู้มาร่วมชมงานมากถึง 3-4 แสนคน

แต่สำหรับผมขนาดของงานไม่ใช่เรื่องสำคัญ แม้งานนี้จะใหญ่ที่สุดในอาเซียน แต่ก็ไม่สำคัญเท่าเนื้อหาที่เต็มไปด้วยคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ ที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วม กับมีการคัดเลือกประเด็นที่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกคนต้องช่วยกัน และจะร่วมมือกันอย่างไร และถึงแม้ในงานจะมีตัวอย่างดี ๆ มากมาย แต่ไม่สำคัญเท่าเรื่องราวเหล่านั้น มีหลักคิด มีเบื้องลึกเบื้องหลัง กับวิธีทำอย่างไร ซึ่งที่ผมเห็นความแตกต่างของงานนี้ ที่ได้ตอกยํ้ามาตลอด 4 ปี นั่นคือ หลักการและตัวอย่างที่หลากหลายของความ “สมดุล” ที่ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป รวมถึงวิธีทำงานให้เราก้าวสู่เป้าหมายร่วมกันด้วยความเข้าใจ ที่สามารถระเบิดออกมาจากข้างใน

ซึ่งนั่นก็คือหลักการของ “ความพอเพียงเพื่อความยั่งยืน Sufficiency for Sustainability” และการที่ “ความสมดุลคือหัวใจของความพอเพียง” ในงานนี้จึงมีการเล่าเรื่องที่แตกต่าง ซึ่งไม่ได้อธิบายแบบท่องจำ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข แต่มีตัวอย่างจริง ๆ ของผู้ที่ทำจริง ๆ ได้แก่ Heart ว่ามีแรงบันดาลใจอย่างไรที่เริ่มต้นด้วยหัวใจที่พอเพียง ที่มีความเข้าใจความสมดุลของธรรมชาติและความเปลี่ยนแปลง มีตัวอย่างความคิดดี ๆ ที่เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยตัวเราเอง โดยเอาประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนความสุขส่วนตน, Head ว่ามีขบวนการคิดอย่างไร สมองมีวิธีคิด วิเคราะห์ วางแผนการทำงานแบบ “เข้าใจ เข้าถึง แล้วค่อยพัฒนา” ทุกอย่างมีเหตุและมีผล, Hand เมื่อเกิดผลแล้วก็ส่งมาที่จุดนี้ ที่จะต้องมีทักษะและสร้างผลงานอย่างไร มีการลงมือทำคิดวิเคราะห์ให้ดีก่อนทำ ด้วยความเพียร อดทน ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เช่นนั้นจะล้มเหลว เพราะส่วนใหญ่เรามักจะทำกลับด้านแบบพัฒนาไปก่อนแล้วจึงค่อยเข้าถึง แล้วจึงเข้าใจว่าที่ทำไปนั้นทำผิดทาง

ทั้งนี้ สำหรับ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” นี้ เราสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ใช้ได้ในทุก ๆ การตัดสินใจ หรือใช้ในงานต่าง ๆ ที่ถูกมอบหมาย เพราะเป็น หลักคิดที่พาไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน ที่สำคัญยังช่วยสร้างความสุขให้กับตัวเราและผู้คนรอบข้างด้วย ซึ่งภายในงานนี้ คาดว่าจะมีชาวต่างชาติจากทั่วโลกมาเล่าเรื่อง “สมดุล…พอเพียง” ให้เราฟัง และมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในต่างแดน รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของพวกเขาที่มาจากใจเพื่อแสวงหาความร่วมมือในการก้าวสู่เป้าหมายความยั่งยืน SDG ร่วมกัน เพราะ “พอเพียงเป็นหลักคิดแบบสากล” ที่บางทีแล้วนั้น ฝรั่งอาจจะเล่าเข้าใจง่ายกว่าเราด้วยซํ้า และนอกจากคนต่างชาติแล้วก็ยังมีผู้นำทางศาสนาที่มาเล่าเรื่องความพอเพียง ในมุมของ “Mindfulness การดำรงชีวิตอย่างมีสติและสมดุล” ไม่น่าเชื่อเลยว่าวิชานี้จะเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก ดังนั้นผมจึงคิดว่า “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือคู่มือมนุษย์ในศตวรรษที่ 21” ซึ่งผมเคยรวบรวมเขียนเป็นหนังสือไว้จาก แรงบันดาลใจในหลักการทรงงานของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ที่ทุก ๆ ท่านสามารถ scan เป็น E-Book เพื่อนำไปอ่านและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

และนอกจากนี้ ที่ผมอยากเชิญชวนมาร่วมงาน SX นี้ เพราะทุกคนจะได้พบผู้คนในสังคมพอเพียงจากทั่วโลก ผ่านเวทีที่โซน SEP Inspiration ซึ่งอยู่ตรงกลาง ซึ่งมีหัวข้อเด็ด ๆ มากมาย ที่ผมจะมาเล่าให้ฟังต่อไป และนอกจากโซนดังกล่าวแล้ว อยากชวนให้มาเดินเที่ยวชมโซนอื่น ๆ ที่น่าสนใจเช่นกัน เช่น โซน Better Me เพื่อสำรวจดูว่ารอบตัวเราจะสร้างความยั่งยืนอย่างไร ทั้งด้านสุขภาพ คุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่, โซน Better Living เพื่อมาดูว่าความเป็นอยู่แบบ Net Zero รักษ์โลกนั้นจะต้องทำอย่างไร หรือองค์กรต่าง ๆ ได้ช่วยกันกู้โลกอย่างไร รวมถึงสำรวจสินค้าและบริการต่าง ๆ ว่านอกจากดีต่อโลกแล้วยังทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างไร, โซน Better Community ที่จัดแสดงเกี่ยวกับชุมชนยั่งยืน การอยู่ร่วมกันแบบเท่าเทียมในแบบที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อร่วมกันสร้างเมืองแห่งความยั่งยืน, โซน Better World ที่มี SX Landmark และ Art Exhibition เชื่อม Local สู่ Global

ส่วนที่ชั้น LG ก็มี โซน SX Food Festival ที่รวมพล Chef รักษ์โลก ซึ่งมีอาหารอร่อยมากมาย ที่มีการโชว์การบริหารแบบยั่งยืนกับตัวอย่างการจัดการ Food Waste, โซน SX Kids ที่เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นและห้องเรียนเรื่องความยั่งยืน เพื่อให้เด็ก ๆ ได้สนุกสนานไปกับเกมและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21, โซน SX Marketplace สำหรับผู้อ่านที่ชอบติดตามคอลัมน์ ชิม ช้อป ใช้ สไตล์ยั่งยืน ซึ่งที่โซนนี้จะมีบูธสินค้ารักษ์โลกกว่า 200 ร้านที่คัดสรรมาให้จับจ่ายอย่างจุใจ ซึ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้แค่เรียกนํ้าย่อยนะครับ เอาไว้เราจะมาเล่าให้ฟังอีกเรื่อย ๆ ทั้งก่อนถึงวันงาน ช่วงการจัดงาน และหลังงานเลิกไปแล้ว เพราะ SX และ เดลินิวส์ Sustainable Daily มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือ การสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตที่ยั่งยืนของมวลมนุษยชาติ แล้วมาพบกันได้ที่งาน SX Sustainability Expo 2023 ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. ถึงวันที่ 8 ต.ค. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อร่วมเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกัน…เพื่อสมดุลที่ดี…เพื่อโลกที่ดีกว่า.

CSR Man