มหากาพย์คดีประมูลซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาฯ ของครอบครัวอดีตนายกรัฐมนตรี เชื่อมโยงมาถึงกรณี “ถุงขนม 2 ล้านบาท” ที่ไปโผล่ในศาล ตั้งแต่ปี 51 ยาวนานมาถึงปี 66 ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เพราะเรื่องถุงขนม 2 ล้านบาท อาจจะเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของใครบางคน ที่อาจจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในอนาคต
วันนี้ทีมข่าว Special Report สนทนากับ ดร.พิชิต (ทนายพิชิต) ชื่นบาน นักกฎหมายชื่อดัง ซึ่งปัจจุบันได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับประวัติส่วนตัวและเรื่องราวในหลายแง่มุม โดยเฉพาะเกี่ยวกับ “ถุงขนม 2 ล้านบาท”
ดร.พิชิตในวัย 64 ปี กล่าวว่าเขาเกิดที่ จ.ปราจีนบุรี เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง แล้วมาเรียนจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ2) มหาวิทยาลัยรามคำแหง จบเนติบัณฑิตไทย (สมัยที่ 34) จบปริญญาโททางด้านนิติศาสตร์ สาขากฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต และปริญญาเอก สาขาบริหารธุรกิจอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
มีประสบการณ์เป็นทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย ให้กับบริษัทเอกชนชื่อดังในตลาดหลักทรัพย์ และบุคคลทั่วไป มากว่า 30 ปี เป็นมือกฎหมายให้กับ 4 นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่นายทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และกำลังเข้ามาช่วยงานทางด้านกฎหมายให้กับนายกฯเศรษฐา
“ผมทำงานอยู่ข้างหลังให้พรรคมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย เป็นงานทางด้านกฎหมาย คดีความต่างๆที่มีมากมาย และติดต่อประสานงาน ซึ่งคนในพรรครู้ดีครับว่าทำงานกันค่ำมืดดึกดื่นกับน้องๆนักกฎหมายที่สำนักงาน แต่ไม่ได้บอกให้คนภายนอกทราบ ไม่ได้คุยกับสื่อ และไปปรากฎตัวที่พรรคน้อยมาก แต่ไปพรรคเท่าที่จำเป็นจริงๆ”
ได้ตำแหน่งอะไร! เพราะทำงานให้พรรค-ไม่ใช่ต่างตอบแทน
ดร.พิชิตกล่าวว่า นายกฯเศรษฐาเพิ่งแต่งตั้งตนเป็นที่ปรึกษานายกฯ ก็จะใช้ความรู้และประสบการณ์ช่วยงานนายกฯ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นจึงต้องขอโอกาสในการทำงานก่อน ส่วนการจะได้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ในอนาคต เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในพรรคและเป็นเรื่องของนายกฯจะพิจารณา เป็นเรื่องราวในอนาคตที่ยังไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าจะให้ตำแหน่งอะไร ก็เพราะเห็นว่าตนเป็นคนทำงานให้พรรคมาโดยตลอด ไม่ใช่ให้เพราะต่างตอบแทนกัน แต่วันนี้เป็นที่ปรึกษานายกฯ ก็ต้องทำงานตามที่ท่านมอบหมายให้ดีที่สุด
ส่วนเรื่องราวในอดีตที่ไปช่วยทำคดีที่ดินรัชดาฯ ให้กับอดีตนายกฯ ตั้งแต่ปี 51-52 โดยมีหลายคนพยายามขุดคุ้ยขึ้นมา ตนต้องขอความเป็นธรรม ขอความเห็นใจด้วย และขอชี้แจงว่าเคยถูกศาลสั่งจำคุกจริงฐาน “ละเมิดอำนาจศาล” ซึ่งไม่ใช่ความผิดทางอาญา ตนไม่เคยต้องคำพิพากษาในความผิดทางอาญา ไม่เคยต้องคำพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานให้สินบนเจ้าหน้าที่หรือศาล
สำหรับคดีที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในปี 51-52 ว่า “ร่วมกันใช้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ” ต่อมาพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) สน.ชนะสงคราม มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 มีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด!
ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ประกอบมาตรา 98 นอกจากนี้ยังเคยเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในปี 54-56 เคยเป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ ในปี 62 เรียกว่าผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจาก กกต. มาแล้ว 2 รอบ เพราะอะไร เพราะตนไม่เคยต้องคำพิพากษาในคดีอาญา ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม แต่กรณีที่เกิดขึ้นเมื่อปี 51-52 ทางกฎหมายเรียกว่า “คำสั่งศาล” เป็นเรื่องวิธีสบัญญัติในทางแพ่งเกี่ยวกับการพิจารณาของศาล ที่ให้อำนาจศาลในการดูแลความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล ซึ่งไม่ใช่การกระทำผิดในทางอาญา
บอกตรงๆ ไม่รู้หน้าตา “ถุงขนม 2 ล้าน” เป็นอย่างไร!
“เคยพูดกับเพื่อนฝูง และคนใกล้ชิดมาโดยตลอด ว่าผมเป็นคนมีมารยาท และไม่โง่ ไม่เสียสติขนาดหิ้วเงินสด 2 ล้านบาท ไปจ่ายให้ใครในศาล แต่ข่าวสารที่ออกมา หรือคนที่วิพากษ์วิจารณ์โดยไม่รู้ข้อเท็จเจริง เหมือนว่ามีผมคนเดียวที่หิ้วถุงเงินเข้าไปในศาล แต่กรณีนั้นยังมีตัวละครอีก 2 คน ที่ถูกแจ้งข้อหาพร้อมกับผม ฐานร่วมกันใช้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ แต่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 มีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเงินนั้นเป็นของใคร เพราะขณะเกิดเหตุอยู่คนละห้องกัน หลังเกิดเหตุกว่า 3 ชั่วโมง ผมโทรฯ ไปสอบถามว่ามีอะไรกัน จึงกลายเป็นภัยติดตัวมา คือโดนข้อหาไปด้วย ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าหน้าตาถุงขนม 2 ล้านบาทเป็นอย่างไร โดยในสำนวนของตำรวจ-อัยการ ระบุว่า นาย ธ. เป็นคนถือถุงเงินเข้าไปบริเวณศาล แต่พนักงานสอบสวนตรวจสอบในแง่มุมต่างๆ และพุ่งเป้าไปที่นาย ธ. ซึ่งไม่ใช่ทีมทนายของผม แต่สุดท้ายเมื่อไม่มีมูล ไม่มีเหตุผลจูงใจที่จะให้สินบนใคร ทั้งตำรวจ-อัยการ จึงสั่งไม่ฟ้องทั้ง 3 คน”
แต่ตนถูกคำสั่งศาลฐานละเมิดอำนาจศาล ซึ่งไม่ใช่ความผิดทางอาญา เนื่องจากความผิดทางอาญาต้องมีฝ่ายโจทย์-จำเลย มีการสืบพยานทั้งสองฝ่ายก่อนตัดสิน และจำเลยยังมีสิทธิ์อุทธรณ์-ฎีกา แต่กรณีของตนน่าจะเป็นกรณีศึกษาว่าเรื่องแบบนี้ทำไมตนถูกตัดสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม อุทธรณ์-ฎีกาไม่ได้ ขอความเป็นธรรมไปแล้วได้คำตอบมาว่าเหตุเกิดในศาลสูง (ศาลฎีกา) ศาลเดียวจบเลย อุทธรณ์-ฎีกาไม่ได้ ทั้งที่ไม่ใช่คนถือถุงเงินเข้าไปในบริเวณศาล
ขณะเกิดเหตุอยู่กันคนละห้องห่างกัน ตนอยู่ในห้องปิดกับลูกความ ผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมงโทรฯ มาถามว่ามีอะไรกัน แต่โดนไปด้วยเลย ทั้งที่คนหิ้วถุงเงินไม่ได้เกี่ยวข้องในหน้าที่ทนายความ และในคำสั่งศาลมี 21 หน้า ใครที่ชอบวิพากวิจารย์เกินเลย ไปอ่านให้ละเอียดแล้วจะรู้ว่าตนไม่ได้เป็นคนหิ้วถุงเงิน และใน 21 หน้า เป็นข้อยุติด้วยว่าใครเป็นคนหิ้วเงิน
ไปอ่านคำสั่งศาล 21 หน้า-รู้รายละเอียดทั้งหมด
สำหรับคดีดังกล่าว (ที่ดินรัชดา) ในฐานะที่ตนเป็นทนายความ ขณะนั้นยังอยู่ในขั้นตอนและกระบวนการเพิ่งมาถึงแค่ขอคัดถ่ายพยานหลักฐาน เพื่อนำมาทำคำให้การในการต่อสู้คดี เพิ่งรู้จักเจ้าหน้าที่ศาลแค่คนเดียว ยังไม่เห็นหน้าตาองค์คณะผู้พิพากษาเลย ยังไม่มีการนัดสืบพยานโจทก์-จำเลย จึงไม่มีเหตุจูงใจที่จะไปติดสินบนใคร ดังนั้นจึงขอความเห็นใจว่าอย่ามาเรียกตนว่าเป็น “ทนายถุงขนม” อีกเลย ถ้าไปอ่านคำสั่งศาลทั้ง 21 หน้า แล้วจะรู้รายละเอียดทั้งหมด
แต่ที่ผ่านมาอยู่เงียบๆ มาตลอด ตนเป็นสุภาพบุรุษพอ และเคารพต่อองค์กรศาล จึงไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บกับเรื่องราวในอดีต ไม่อยากเอ่ยชื่อใคร ไม่อยากฟ้องร้องใครที่พูดและสื่อสารในช่องทางต่างๆ โดยไม่รู้ข้อกฎหมาย ไม่รู้เรื่องราวข้อเท็จจริงทั้งหมด เพียงแต่วันนี้อยากจะขอความเป็นธรรมบ้าง ขอโอกาสในการทำงานให้นายกฯเศรษฐา เพราะตนถือว่ามีความรู้ มีประสบการณ์การทำงานมาพอสมควร ไม่ขาดคุณสมบัติทางกฎหมาย ไม่มีลักษณะต้องห้ามใดๆ ทั้งสิ้น
“ผมเป็น สส.บัญชีรายชื่อ เมื่อปี 54-56 ซึ่งต้องมีคุณสมบัติเชื่อมโยงกับคุณสมบัติของรัฐมนตรีอยู่แล้ว เคยทำงานช่วยอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาโดยตลอด ทั้งข้าราชการประจำ-ตำรวจ-ทหารทราบกันดี ถ้าประพฤติออกนอกลู่นอกทาง หรือไปหาเศษ หาเลยใดๆ หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค.57 ต้องมีทหารมาเยี่ยมบ้านผมแน่ๆ แต่ไม่มีใครมาเยี่ยมบ้านเลย แล้วผู้ใหญ่คงไม่ไว้ใจใช้งานผมมาอย่างต่อเนื่องขนาดนี้” ดร.พิชิต กล่าว