หลายประเทศจึงร่วมกันผลักดันให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ลดการปล่อยก๊าซฯ ให้เหลือน้อยที่สุด ที่เห็นชัดที่สุด คือ การบรรลุข้อตกลงควบคุมปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกาศเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 หรือ พ.ศ. 2593 และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 หรือ พ.ศ. 2608

“สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน” หรือ บีโอไอ ถือเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรมมากที่สุดหน่วยงานหนึ่ง ในการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการลงทุน เพื่อพัฒนาการดำเนินงานที่สมดุลและยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อร่วมกันลดโลกร้อนให้น้อยที่สุด และต้องการผลักดันให้ BCG เป็นเรือธงในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว โดยยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (ปี 66–70) บีโอไอ ได้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “เศรษฐกิจใหม่” ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ มีขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่ทั่วถึงและยั่งยืน

“นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์” เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ มองว่า  การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์บีโอไอฉบับใหม่ เพราะเราตระหนักดีว่า ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกประเทศ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน และทั่วโลกกำลังมุ่งสู่ทิศทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด เอสดีจี, อีเอสจี  อีกทั้งจะมีกติกาการค้าระหว่างประเทศใหม่ ๆ ที่ทยอยออกมาเพื่อบังคับภาคธุรกิจให้ลดการปล่อยคาร์บอนทั้งซัพพลายเชน ถ้าผู้ประกอบการปรับตัวไม่ทัน จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

นอกจากนี้ บริษัทชั้นนำระดับโลกจำนวนมากได้ตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือบางส่วนเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม RE100 ที่มีเป้าหมายใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในกิจการ 100% หากประเทศไทยต้องการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเหล่านี้ จำเป็นต้องมีมาตรการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่การลงทุนสีเขียว ที่ชัดเจนและจริงจัง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นแหล่งลงทุนชั้นนำของภูมิภาค และทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลด้วย

ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (ปี 66-70) ฉบับใหม่ บีโอไอกำหนดมาตรการและแนวทางส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ครอบคลุมทั้งการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีที่สะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอนและมลพิษทุกชนิด ดังนี้

1.สนับสนุนผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดมลพิษ ลดการใช้พลังงาน และใช้พลังงานหมุนเวียน ผ่านมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart and Sustainable Industry ให้สิทธิประโยชน์ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งลดกากของเสีย นํ้าเสีย มลพิษในอากาศ หรือลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรประหยัดพลังงาน หรือใช้พลังงานหมุนเวียนในกิจการ เช่น การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในโรงงาน การปรับเปลี่ยนหม้อนํ้าสำหรับผลิตไอนํ้าเพื่อปั่น  ไฟฟ้าใช้ในโรงงาน หรือการยกระดับไปสู่มาตรฐานความยั่งยืนในระดับสากล เช่น มาตรฐานการรับรองป่าไม้ตามแนวทางขององค์การพิทักษ์ป่าไม้ (FSC และ PEFCs) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการป่าไม้แบบยั่งยืน (ISO 14061)

2. ส่งเสริมการลงทุนกิจการที่ช่วยลดผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น กิจการนำวัสดุที่ไม่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลหรือเส้นใยรีไซเคิล กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะและพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และพลังงานทางเลือกใหม่ เช่น พลังงานไฮโดรเจน กิจการบริการด้านจัดการพลังงาน กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากเศษวัสดุ ของเสียจากผลผลิตการเกษตร หรือขยะ (RDF) กิจการบำบัดหรือกำจัดของเสีย รวมถึงการส่งเสริมกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเภทต่าง ๆ เพื่อช่วยลดมลพิษในภาคการขนส่ง

3. กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมบางธุรกิจ ให้ใช้เทคโนโลยีหรือวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดให้ใช้เทคโนโลยีดักจับ กักเก็บ และใช้ประโยชน์คาร์บอน ในธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง เช่น ปิโตรเคมี โรงแยกก๊าซธรรมชาติ การกำหนดให้ใช้สารทำความเย็นธรรมชาติหรือสารที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยในกิจการห้องเย็น และการกำหนดให้ Smart Environment เป็นเงื่อนไขพื้นฐานในการส่งเสริมกิจการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะ

4. ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมีบทบาทในการช่วยยกระดับชุมชนมากขึ้น ผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม โดยบีโอไอให้สิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจผู้ประกอบการให้ร่วมมือกับท้องถิ่น เพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาภาคเกษตรและระบบนํ้า การสนับสนุนโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรท้องถิ่น การพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน การสนับสนุนด้านการศึกษาและสาธารณสุข รวมถึงการช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน เช่น การปลูกข้าวที่ลดการปล่อยก๊าซมีเทน การแปรรูปเศษวัสดุการเกษตรเพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 การพัฒนาระบบการคัดแยกขยะในชุมชน

“ตอนนี้มาตรการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นมาตรการเนื้อหอมที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเห็นได้จากการยื่นขอรับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี อย่างล่าสุดตัวเลข 6 เดือน หรือม.ค.-มิ.ย. 66 มีนักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ กว่า 186 โครงการ เงินลงทุน 8,332 ล้านบาท และตอนนี้ยังมีการยื่นมาอย่างต่อเนื่อง”.