เย็นวันเดียวกัน “เศรษฐา” เข้าสู่พิธีรับพระราชโอการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ที่พรรคเพื่อไทยได้จัดเตรียมไว้ ที่ห้องประชุมใหญ่ชั้น 7 โดยหลังจากเสร็จพิธีแล้ว “เศรษฐา” ออกมาแถลงให้คำมั่นสัญญากับประชาชนทันที่ว่า “จะทุ่มเททำงานตามมาตรฐานจริยธรรมด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ มั่นใจว่า 4 ปีต่อจากนี้ จะเป็น 4 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ขอให้คำมั่นว่าจะทำงานอย่างหนักเพื่อบำบัดความทุกข์ สร้างความสุข นำพาความเจริญให้กับประชาชนคนไทยและคนทุกกลุ่ม อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นดินแดนแห่งความสุขของคนทุกวัย เป็นประเทศที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีในเวทีนานาชาติอีกครั้งหนึ่ง จะขอทำหน้าที่นายกฯที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ นำพาประเทศไทยไปข้างหน้า และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของพวกเราทุกคน

ท่ามกลางการแสดงความยินดีของเหล่าบรรดาแกนนำ 11 พรรคร่วมรัฐบาลที่ใส่ชุดขาวมาร่วมพิธีรับพระราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งด้วย พร้อมพลพรรคเพื่อไทย และครอบครัวโดยมี“หมออ้อม” พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน ภริยา ออกมาปรากฏตัวเป็นสตรีหมายเลข 1 และน.ส.ชนัญดา ทวีสิน บุตรสาว

นอกจากนี้ยังมีคนเสื้อแดงก็ไม่พลาดมาให้กำลังใจที่พรรคเพื่อไทยเช่นกัน พร้อมตะโกนด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมว่ามี  “นายกฯชื่อ เศรษฐา คนไทยจะเป็นเศรษฐี”

งานนี้”เศรษฐา”ไม่รอช้าเปิดเกมรุก รุดเข้าทำเนียบรัฐบาล พบ“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ปรากฏภาพภาพประวัติศาสตร์ที่ 2 นายกรัฐมนตรีส่งมอบงานกัน ระหว่างนายกฯคนที่ 29 “นายกฯลุงตู่” ที่กำลังจะไปจากทำเนียบฯรัฐบาล และ “นายกฯ เศรษฐา” นายกฯคนที่ 30 จะเข้ามาทำหน้าที่แทน

โดย “บิ๊กตู่”  ฝาก ‘เศรษฐา’ เรื่องการรักษาสถาบัน เลิกแบ่งสี-แบ่งฝ่าย พาบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า แถมยังพาเดินชมสถานต่างๆในทำเนียบฯ ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น เล่นเอา “เสี่ยนิด” ชมเปราะว่า “บิ๊กตู่” เป็นคนน่ารัก

 แต่ก่อนจะถึงความชื่นมื่น เกิดละครการเมืองสองบิ๊กแมตช์ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม เริ่มตั้งแต่ ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน อย่างเท่ ๆ ตามมาด้วย รัฐสภาโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30” แบบม้วนเดียวจบ

ที่บอกว่าเป็นละครเพราะ “ทักษิณ” กลับบ้านมาในฐานะนักโทษชาย (นช.) แต่พิธีกรรมกับไม่เหมือนการเป็นนักโทษของแผ่นดิน แต่กลับกลายเป็นไปตามที่ “ทักษิณ” เคยประกาศไว้ว่า จะกลับบ้านมาอย่างเท่ๆ หลังจากหลบหนี คดีมา 15ปี

วิธีการเป็นเหมือนฉากละครหลังการพาตัว “นช.ทักษิณ” ไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ที่ได้มีการตัดสินไปแล้ว 3 คดี มีโทษจำคุกรวม 8  ปี จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้ควบคุมตัว นำตัวส่งเข้าเรือนจำทันที จากนั้นไม่กี่อึดใจบรรดาหัวแถว กรมราชทัณฑ์ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ถึงผลการตรวจร่างกายแล้วจัด “ทักษิณ”ให้เป็นพวกกลุ่มเปราะบาง และตรวจพบ 4 โรคที่น่าเป็นห่วง ทั้งกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปอดอักเสบเรื้อรังจากโรคโควิด กระดูกเสื่อม ความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องจัดให้พักห้องเดี่ยว เพื่อความปลอดภัย และกลางดึกในวันเดียวกันเกิดอาการแน่นหน้าอก ความดันพุ่ง ต้องเร่งนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจเป็นการด่วน 

ปลุกเสียงครหาเป็นการเลือกปฏิบัติ เหลื่อมล้ำไม่เหมือนนักโทษทั่วไป เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า เป็นการกลับบ้านอย่างเท่ๆ เหมือนเดินอยู่บนทุ่งลาเวนเดอร์

สำหรับการกลับมาของ “นช.ทักษิณ” เป็นบิ๊กแมตช์ ที่ถือว่าใช้ต้นทุนพรรคเพื่อไทยไปเกือบหมด และที่ผ่านมาก็แทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว จากเหตุพรรคเพื่อไทยจับมือ 11 พรรคการเมือง โดยมีเงา 2 ลุงเข้าร่วมรัฐบาลข้ามขั้ว ถีบพรรคก้าวไกลออกไปเป็นฝ่ายค้าน จนเจอกระแสต้าน จากคนเสื้อแดงและด้อมส้มอย่างหนักหน่วง ที่เห็นได้ชัด ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประกาศลาออกจากการเป็น ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งใครๆก็รู้ทันว่าเป็นแค่เกมยื้อคนเสื้อแดงที่ผิดหวังเอาไว้

แม้ต้นทุนจะไม่เหลือแต่เกมนี้พรรคเพื่อไทยมีแต่ได้กับได้เพราะวันเดียวปิดได้สองบิ๊กแมตช์ คือ พา“ทักษิณ”ได้กลับบ้านอย่างเท่ๆ โดยไม่ต้องนอนคุกแม้แต่คืนเดียวและรัฐสภาโหวต “เศรษฐา”นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน482 ต่อ165 เสียง เปรียบได้กับละครการเมืองที่วางพล็อตเรื่องไว้หมดแล้ว และสถานีต่อไป คือ การสร้างผลงาน เพื่อดึงมวลชนคนเสื้อแดงกลับมาเหมือนเดิม

ขณะที่เกมการแบ่งเค้กตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) “เศรษฐา 1 ”กว่าจะสะเด็ดน้ำเล่นเอาหืดขึ้นคอเพราะ วันที่ 21 สิงหาคม ก่อนการประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยร่วมกับ 11 พรรคการเมืองตั้งโต๊ะแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลพิเศษแก้วิกฤติประเทศ ประกาศมีเสียงในมือ 314 เสียง มีการวางโควตารัฐมนตรีไว้เรียบร้อย

โดย พรรคภูมิใจไทย(ภท.) 71 ที่นั่ง ได้ 8 ตำแหน่ง เป็น รัฐมนตรีว่าการ(รมว.) 4 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (รมช.) 4 ตำแหน่ง ,พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 40 ที่นั่ง ได้ 4 ตำแหน่งโดยเป็น รมว. 2 กระทรวงและรมช. 2 ตำแหน่ง ,พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 36 ที่นั่ง ได้ 4 ตำแหน่ง เป็น รมว. 2 กระทรวง และรมช. 2 ตำแหน่ง , พรรคชาติไทยพัฒนา 10 ที่นั่ง ได้รมว.1 กระทรวง ,พรรคประชาชาติ 9 ที่นั่ง ได้รมว. 1 กระทรวง , ขณะที่พรรคเพื่อไทย 141 ที่นั่ง ได้รมว. 8 กระทรวง รมช.และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรวม 9 ตำแหน่ง

ส่วนพรรคอื่นๆ อีกจำนวน 5 พรรคเข้าร่วมด้วย ได้แก่ พรรคชาติพัฒนากล้า 2 ที่นั่ง,พรรคเพื่อไทยรวมพลัง 2 ที่นั่ง,พรรคเสรีรวมไทย 1 ที่นั่ง พรรคท้องที่ไทย 1 ที่นั่ง,พรรคพลังสังคมใหม่ 1 ที่นั่ง ในการแถลงยังไม่ได้มีโควตารมต.ให้

ทั้งนี้เมื่อถึงเวลาโหวตนายกรัฐมนตรีจริงปรากฏว่า “ทีมลุงตู่”ได้หนีบเสียงสว.มาเป็น100 เสียง เข้าร่วมโหวตยกมือให้ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ขณะที่ “ทีมลุงป้อม” แม้สส.พปชร.จะยกมือโหวตให้ทั้งพรรค แต่สว.ฝั่ง “ลุงป้อม” กลับโหวตให้เพียงแค่ 3-4 เสียงเท่านั้น สุดท้ายต้องดึงเสียง 16 สส. พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)แหกมติพรรค โดยโหวตหนุน “เศรษฐา” เป็นนายกฯด้วย ทำเอาพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยประกาศเป็นสถาบันพรรคการเมืองถึงกับต้องสั่นคลอน

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ต้องมีการเขย่าเก้าอี้ครม.กันใหม่ ซึ่ง”สมศักดิ์ เทพสุทิน “ ก็ได้ออกมายอมรับว่า มีพรรคร่วมรัฐบาลต้องการตำแหน่งรัฐมนตรีตรงกัน จึงต้องใช้เวลาเจรจานานหน่อย

สำหรับการตั้งรัฐบาลต้องยอมรับว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ มีกลุ่มก๊วนการเมือง ลงทุนไปเยอะ เทกันจนแทบหมดหน้าตัก บางพรรคถึงขนาดต้องมีในทุนส่งเข้ามาเจรจาต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีเอง ทำให้โอกาสที่จะต้องมีการถอนทุน มีเงินทอนเป็นไปได้สูง 

จึงอยู่ที่ว่า “เศรษฐา” จะเอาอยู่หรือไม่ เพราะพฤติกรรมพรรคร่วมรัฐบาล มักจะชอบขี่คอพรรคแกนนำ ดังนั้นต้องจับตาดูว่า คนอย่าง “เศรษฐา”ระดับอดีต ซีอีโอแสนสิริ  จะทนไหวหรือไม่หรือ ถือเป็นเวทีที่จะต้องพิสูจน์ว่า “รัฐบาลเศรษฐา1” จะไปรอดหรือไม่ หรือจะพาการเมืองไทยเข้าสู่จุดเปราะบาง จนพารัฐนาวาไปไม่รอด เพราะคุมพรรคร่วมไม่อยู่ 

แต่สถานการณ์ปัจจุบันยังคงอยู่ในช่วงฮันนีมูนคนไทยบางกลุ่มยอมกลืนเลือดก้าวข้ามความขัดแย้ง เปิดโอกาสให้ประเทศไปต่อ โดยคนไทยจำนวนมากใจจดจ่อรอใช้เงินดิจิตอล 10,000 บาท ตามนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเคยหายเสียงไว้ จึงถือเป็นโอกาสทองของ “รัฐบาลเศรษฐา1”จะทำงานพิสูจน์ ผลงานในการเสกสุขให้กับคนไทย ได้สมกันที่ประชาชนคาดหวังไว้ได้หรือไม่ หรือจะกลายเป็นระเบิดเวลาของรัฐบาลพิเศษ ที่ไม่มีเสถียรภาพในการบริหารประเทศจากการแบ่งเค้กไม่ลงตัว.