สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ว่า นายราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ( ไอเออีเอ ) เยือนกรุงเตหะราน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และสามารถบรรลุข้อตกลง "ได้ทันภายในนาทีสุดท้าย" ต่อการที่ไอเออีเอจะสามารถเข้าถึงภาพจากกล้องวิดีโอวงจรปิดภายในนิคมนิวเคลียร์ทุกแห่งของอิหร่าน "ภายใต้เงื่อนไข" หมายความว่า ไอเออีเอจะสามารถชมภาพทั้งหมดจากกล้องวิดีโอวงจรปิด แต่ข้อมูลทั้งหมดที่กล้องบันทึกไว้ "เป็นทรัพย์สิน" ของอิหร่าน และห้ามลบทิ้ง ตราบใดที่ข้อตกลงยังมีผลบังคับใช้แม้กรอสซียอมรับว่า ข้อตกลงนี้ "เป็นเพียงการซื้อเวลา" แต่คาดหวังว่า น่าจะช่วยขยายโอกาสให้กับการเจรจาตามกระบวนการทางการทูต โดยฝ่ายบริหารของไอเออีเอที่ประกอบด้วยสมาชิกจาก 35 ประเทศ รวมถึงสหรัฐ รัสเซีย และจีน มีกำหนดประชุมกันในสัปดาห์นี้ และมีความเป็นไปได้สูง ว่าที่ประชุมจะมีมติแสดงความไม่พอใจต่อการที่อิหร่าน "ขัดขวาง" กระบวนการทำงานของไอเออีเอ
นายราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ( ไอเออีเอ ) แถลงร่วมกับนายโมฮัมหมัด เอสลามี ผู้อำนวยการองค์การพลังงานปรมาณูอิหร่าน ( ไอเออีโอ )ทั้งนี้ การให้ไอเออีเอเข้าถึงระบบกล้องวีดีโอวงจรปิด เป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญภายใต้ข้อตกลงนิวเคลียร์ ฉบับปี 2558 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเตหะรานเป็นฝ่ายระงับเอกสิทธิ์ดังกล่าว เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับฝ่ายตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐ ซึ่งจับตาการกลับมาเดินเครื่องหมุนเหวี่ยงเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ของศูนย์นิวเคลียร์หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ โรงงานนิวเคลียร์ในเมืองนาทานซ์ ซึ่งเป็นศูนย์นิวเคลียร์แห่งสำคัญ ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ "ให้มีความบริสุทธิ์สูงสุด 60%" มากกว่าที่ระบุอยู่ในข้อตกลงนิวเคลียร์ ว่า "ต้องไม่เกิน 4.5%"อนึ่ง ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ฉบับปี 2558 ระหว่างรัฐบาลเตหะราน กับสหรัฐ รัสเซีย จีน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี เน้นไปที่การจำกัดการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่าน เพื่อแลกกับการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตร แต่รัฐบาลวอชิงตันของประธานาบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำสหรัฐถอนตัว เมื่อปี 2561 และเดินหน้าคว่ำบาตรฝ่ายเดียวต่ออิหร่าน ส่วนรัฐบาลวอชิงตันชุดปัจจุบันของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังไม่มีท่าทีชัดเจน ว่าจะกลับไปเข้าร่วมเป็นภาคีหรือไม่ สร้างความไม่พอใจอย่างหนักให้กับรัฐบาลเตหะราน.เครดิตภาพ : REUTERS
