วันนี้ “คุณหมอ บ.” แพทย์จบใหม่ใจร้อน และชอบดื่มไบเล่เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเธอได้เฝ้าดูข่าวการเมืองด้วยความหงุดหงิด จนทนไม่ไหว จึงเขียน จ.ม. มาปรึกษากับ “คุณหมอมาร์ค”

คุณหมอ บ. : คุณอาหมอมาร์คคะ หนูเป็นหมอรุ่นใหม่ที่สนใจความยั่งยืนของชาติ อยากให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่เป้าหมายความยั่งยืนได้ในปี 2030 หนูคิดว่าตอนนี้บ้านเมืองเราเหมือนเป็นคนไข้ชรา ที่มีสุขภาพไม่ดี แถมมีโรคเรื้อรังมา 8 ปีแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ คนไข้คนนี้ ก็อาจจะต้องติดเตียงได้ในไม่ช้า ทำให้หนูอยากเปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ อยากผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะบางส่วน ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่ต่างชาติสนับสนุน เพื่อทำให้คนไข้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง แต่ อ.หมอรุ่นเก่าบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน ให้ทำเป็นขั้นตอน เพราะเรามีกฎระเบียบการรักษาที่เข้มงวด ถ้าทำไม่ดีก็อาจโดนฟ้องได้ และบอกหนูว่าอย่าฟังบริษัทยาข้ามชาติมากนัก แต่หนูจำได้ว่าคุณหมอมาร์คเคยบอกว่า เราออกแบบอนาคตได้ ด้วยการใช้กระบวนการ Design Thinking เราจะใช้เครื่องมือนี้ในการเสนอชื่อผู้นำ และใช้จัดทำสูตรการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ไหมคะ?

คุณหมอมาร์ค: สวัสดีครับน้องหมอ บ. ต้องบอกว่าเข้าใจเปรียบเปรยนะครับ คนไข้คนนี้เป็นคนที่ผมรักเช่นกัน ดังนั้นเราน่าจะลองหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้คนไข้คนนี้กลับมาแข็งแรงได้ดังเดิม ซึ่งวิธีที่เล่ามาทั้งคุณหมอรุ่นใหม่ และ อ.หมอ ดูจะเป็นวิธีคิดแบบสุดโต่งทั้งสองขั้ว ดังนั้นเราลองค่อย ๆ หาทางสายกลางผ่านเครื่องมือ Design Thinking นะครับ สำหรับสูตรของคุณหมอมาร์ค ไม่ใช่ Empathize, Define, Ideate, Prototype, และ Test แบบเบสิกนะครับ แต่เป็น Design Thinking แบบใช้ Common Sense สี่ขั้นตอน นั่นคือ What is, What if, What wow และ What work

เริ่มจาก What is ผมว่าเราให้เวลากับขั้นตอนนี้น้อยมาก ไม่ยอมปรึกษากันว่าเป้าหมายของรัฐบาลใหม่คืออะไรให้ชัดเจน เช่น ต้องการความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ประชาชนต้องเป็นใหญ่ หรือเราต้องการรักษาความสงบสุขก่อน แล้วค่อย ๆ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขจากง่ายไปยาก หรือเราเห็นแก่นายทุน หรืออำมาตย์ หรือประชาชนตาดำ ๆ และเราจะสร้างจุดสมดุลใหม่อย่างไร รวมถึงเราต้องการอะไรกันแน่ ตลอดจนโจทย์ที่แท้จริงคืออะไร หรือมันเป็นแค่ Hidden Agenda ของแต่ละฝ่าย ซึ่งถ้าหาก What is เราไม่ชัด แล้วรีบกระโดดไปทำ What if อันนี้คงต้องถือว่าเราเก่งมาก เพราะถ้าดูวิเคราะห์ข่าวทุกช่อง มีสูตร มีฉากทัศน์มากมาย มีอาจารย์ มีผู้ทรงคุณวุฒิให้ความเห็นกันได้ทุกวัน เรียกว่า What if นี้เราเก่งมาก แต่ทำไปก็ไม่รู้ว่าตอบโจทย์อะไรแน่ เพราะ What is ของเรายังไม่ชัด จึงวิเคราะห์เอามันเพื่อเรียก rating กันไป ซึ่งเมื่อ What if มาผิดทาง หรือไม่มีเป้าหมายชัดเจน ขั้นต่อไปคือ What wow เราก็มารอดูกันว่า เราจะได้ผู้นำที่ wow หรือไม่ หรือ wow แบบไหน หรืออาจจะได้เสียงยี้แทน และสุดท้ายคือ What work น้องหมอ บ. ไม่ต้องห่วงนะ คนไทยเราเก่งมาก และเรามักจะหาวิธีทำให้มัน work ได้เสมอ ดังนั้นคำตอบก็คือ Design Thinking นี้ใช้ได้เสมอ แต่สำหรับกรณีนี้ จุดอ่อนของเราคือการติดกระดุมเม็ดแรกผิด หรือ What is กลายเป็นสิ่งที่เราไม่ยอมคุยกันให้ตกผลึกตั้งแต่แรก จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า แต่ละฝ่ายอาจมีวาระซ่อนเร้นไว้ข้างหลัง.