องค์กรการกุศลต่อต้านการเลือกปฏิบัติ ที่มีชื่อว่า Kick It Out ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1993 เพื่อต่อสู้กับการเหยียดเชื้อชาติในวงการฟุตบอล รายงานว่า มีเหตุการณ์การเลือกปฏิบัติ เพิ่มมากขึ้นถึง 65% ในฤดูกาล 2022-23 ที่เพิ่งผ่านไป

ทางองค์กรเผยว่า ได้รับรายงาน “การเหยียด” และ “เลือกปฏิบัติ” สูงเป็นประวัติการณ์ ถึง 1,007 ครั้ง ไล่ตั้งแต่ระดับรากหญ้า ระดับอาชีพ รวมไปถึงใน โซเชีลมีเดีย

ผู้บริหารระดับสูงสุดของ Kick It Out โทนี่ เบอร์เน็ต กล่าวว่า “มีรายงานการเพิ่มขึ้นของเคสต่างอย่างน่าตกใจ และมันก็เสริมความตั้งใจของเรา ที่จะจัดการแบ่งแยกในทุกด้านของฟุตบอล”

“เบื้องหลังสถิติเหล่านี้ คือบุคคลที่เคยถูกเลือกปฏิบัติอย่างน่าเศร้า และการสนับสนุนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ยังคงเป็นสิ่งที่ Kick It Out ให้ความสำคัญสูงสุด”

ข้อมูลจากการรายงานพบว่า

  • มีรายงานการเลือกปฎิบัติ เพิ่มขึ้นถึง 65.1% ในฤดูกาลที่แล้ว
  • การเหยียดเชื้อชาติ เป็นรูปแบบของการเลือกปฏิบัติที่มีมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายงานทั้งหมด (49.3%)
  • รายงานการละเมิดทางออนไลน์ เพิ่มขึ้นจาก 74 เป็น 281 เคส คิดเป็น 279%
  • รายงานพฤติกรรมเหยียดเพศ/เกลียดเพศหญิงเพิ่มขึ้นจาก 16 เป็น 80 เคส คิดเป็น 400%

อย่างไรก็ตาม Kick It Out ชี้ให้เห็นว่า จำนวนเหตุการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น อาจบ่งบอกถึงการรับรู้ที่เพิ่มขึ้น และความตั้งใจที่มากขึ้นของแฟนๆ ต่อการรายงานเหล่านี้ได้เช่นกัน

“ในขณะที่เรายังคงทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อจะให้มันหมดไป เราก็เรียกร้องให้เหล่าแฟนๆ, สโมสร, ลีก และหน่วยงานกำกับดูแล ช่วยเหลือเรา”

“และเราได้รับการสนับสนุน มีตัวเลขการรายงานเหตุการณ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นว่า ผู้คนมีความอดทนต่อพฤติกรรมการเลือกปฏิบัติน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะรายงานการละเมิด เมื่อพวกเขาพบเห็น”

“ตัวเลขของเรา ให้ภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นในเกม แต่เรายังไม่รู้ภาพรวมทั้งหมด เพราะสโมสร, ลีก และหน่วยงานกำกับดูแล ในตอนนี้ พวกเขาไม่ได้รับคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลการรายงานของพวกเขา”

“สิ่งนี้ตอกย้ำว่า ทำไมฟุตบอลถึงต้องการกลไกการรายงาน แบบรวมศูนย์อย่างเร่งด่วน เพื่อรวบรวมและตรวจสอบ การรายงานเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็สามารถเข้าใจขอบเขตทั้งหมดของปัญหา ภายในกีฬาฟุตบอล และจัดการกับมันได้อย่างเต็มที่”

วินิซิอุส จูเนียร์

ยกตัวอย่างเคสใหญ่ที่เกิดขึ้นกับ “วินิซิอุส จูเนียร์” แนวรุกชาวบราซิล ของ รีล มาดริด ซึ่งถูกเหยียดผิวในเกมที่เจอกับ บาเลยเซีย จนสร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อเจ้าตัว

ผู้ที่ถูกดำเนินคดีมี 3 คน ถูกปรับ 5,000 ยูโร และแบนห้ามเข้าสนามเป็นเวลา 1 ปี

ก่อนหน้านี้ ในปีเดียวกัน วินิซิอุส เพิ่งถูกแขวนหุ่นจำลองของตัวเขา ใกล้สนามซ้อมของ มาดริด โดยเหตุการณ์นั้น มีผู้ถูกดำเนินคดี 4 คน ถูกปรับ 60,000 ยูโร ถูกแบน 2 ปี

ด้านการรายงานของ ฟีฟ่า มีเกือบ 20,000 โพสต์บนโซเชียลมีเดีย ที่พุ่งเป้าไปที่นักเตะ โค้ช และเหล่าเจ้าหน้าที่ ในฟุตบอลโลก 2022 ที่ผ่านมา

นอกจากนั้น ยังมีอีกถึง 286,895 รายการ ที่ถูกซ่อนจากสาธารณะ เนื่องจากใช้คำที่ไม่เหมาะสม จากการสแกนโดยซอฟต์แวร์ ของ ฟีฟ่า และ สหภาพผู้เล่น

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมเลือกปฎิบัติที่มีมานาน นับวันมีแต่จะแย่ลง และเกิดเคสใหม่ๆมากขึ้น โดยที่ไม่มีบทลงโทษอย่างจริงจัง

การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ อาจช่วยได้บ้าง แต่จะดีกว่าหากสามารถแก้มันได้ที่ต้นเหตุ

บางที แฟนบอลในสโมสร เหยียดใส่ฝั่งตรงข้าม แทนที่จะได้รับโทษ แต่สโมสรกลับเงียบ เพื่อจะได้ไม่เป็นข่าวใหญ่โต มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆที่แก้ไม่จบ

และอย่าลืมว่า พฤติกรรมการเลือกปฎิบัติ การเหยียดก็ดี การข่มขู่ก็ดี สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทั่วไปในสังคม ไม่ใช่แค่เพียงวงการการฟุตบอลเท่านั้น.