ต้องบอกว่าหากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว โรคระบาดเชื้อ “ไวรัสมรณะ” อยู่กับคนไทยและคนทั้งโลกไปอีกนาน หรือตลอดไปก็ได้ เพราะ “เชื้อไวรัส” ตายยาก และจะ “กลายพันธุ์” แตกออกไปเรื่อยๆ จนยากที่จะพัฒนาวัคซีนตามทันเหมือนกับเวลานี้ ทั้งโลกเริ่มมีปัญหาการระบาดของเชื้อ “เดลตา”หรือสายพันธุ์จากอินเดีย เชื้อ “อัลฟ่า”สายพันธุ์อังกฤษ และเชื้อ “เบต้า” สายพันธุ์แอฟริกาใต้
ตัวเลขคนตายทุบสถิติ “นิวไฮ” ทุกวัน 51–53–57–61 ผวาทะลุหลักร้อยในไม่ช้า ล้อไปกับจำนวนคนป่วยหนักหลัก 5-6 พันกว่า คนติดเชื้อป่วยเพิ่มสะสมทะลักครึ่งหมื่น ทำสถิติตัวเลขไม่น่าจดจำติดเชื้อระดับโลกไต่ระดับแซงหน้าหลายประเทศที่ก่อนหน้านี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังพุ่งทะยาน ท่ามกลางการบุกโจมตีของ “ไวรัสมรณะ”ที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง
ความหวังสุดท้ายที่พึ่งเดียวของคนไทย คือ “วัคซีน” สารพัดยี่ห้อที่ยังไม่การันตีกลายเป็น “วัคซีนทิพย์” ท่ามกลางความคลุมเครือ หลังจากโชว์ว่าจะต้องเร่งระดมฉีดให้ประชาชนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 หรือราว 50 ล้านคน เพื่อให้เกิด“ภูมิต้านทานหมู่” โดย “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม “เดิมพัน” ตั้งเป้าหมาย ผูกความเสี่ยงเอาไว้ภายใน 120 วัน เปิดประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้ง
ล่าสุดสร้างความฮือฮาโซเชียล อีกครั้งเมื่อเอกสารบันทึกการประชุมของคณะกรรมการวิชาการ ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ2558 ของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ,คณะทำงานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน ปลิวว่อนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะประเด็นการพิจารณาแนวทางวัคซีนไฟเซอร์ที่จะเข้ามาในประเทศไทยจากการบริจาคของประเทศสหรัฐอเมริกา บางส่วนคัดค้านฉีดเข็ม 3 ให้กับ “หมอ–พยาบาล–บุคลากรทางการแพทย์”ด้านหน้า
ปรากฎว่าเกรียนคีย์บอร์ดโลกทวิตเตอร์วิพากษ์วิจารณ์สนั่นอย่างกว้างขวาง พร้อมติดแฮชแท็ก#ฉีดPfizerให้บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งขึ้นเป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่า ไม่ควรฉีดให้กลุ่มนักรบเสื้อขาว เพราะจะเป็นการยอมรับว่าวัคซีนซีโนแวค ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น
งานนี้ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ออกมายอมรับว่า “เอกสารหลุดดังกล่าวเป็นเอกสารจริง และเป็นเอกสารภายในไม่ควรไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องของวิชาการ ตราบใดที่ยังไม่ได้มาเป็นขั้นตอนปฏิบัติ ก็ยังไม่มีผลอะไร หรือเป็นแนวปฏิบัติ เพราะหลังจากนั้นต้องมีอีกหลายขั้นตอน ที่จะตกลงกันว่าจะปฏิบัติในแนวทางไหน ยังไม่ใช่บทสรุป”
ปัญหาวัคซีนไม่เพียงพอ ลุกลามบานปลายน่ากลัว คนแห่จองฉีดวัคซีนกันทั่วประเทศ แต่ยังไม่รู้ว่าจะได้ฉีดกันเมื่อไหร่วัคซีนจะมีหรือไม่ ทว่าสาเหตุหนึ่งของวัคซีนล่าช้า ในภาวะประเทศเผชิญสงครามเชื้อโรค ปฏิเสธไม่ได้เพราะศักยภาพของฝ่ายบริหารไทย เทียบกับประเทศอื่น แม้แต่เพื่อนบ้านที่ด้อยกว่าเป็นตัวชี้วัดชัดเจน ท่ามกลางโรคระบาดเหมือนกันทั่วโลก แต่ “ผู้นำ” กึ๋นต่างกัน
อารมณ์ประชาชนเหมือนกาน้ำกำลังเดือด ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์แขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่มีทางเลือก จึงไม่แปลกที่อารมณ์สังคมจะพลิกตาลปัตรเป็นอาการต่อต้าน กับวิบากกรรมที่ต้องเผชิญสับสนอลหม่าน เงินเก็บก้อนสุดท้ายไม่เหลือ เจ๊งระเนระนาด ผู้ประกอบการไปต่อไม่ไหว สภาพอาการคนไทยสลดหดหู่ เลยจุดรวมพลังต่อสู้โควิดไปกับ “ผู้นำรัฐบาล” เพราะสูญสิ้นศรัทธา แทบไม่เหลือความเชื่อมั่นในตัว “บิ๊กตู่” อีกแล้ว.