เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกุศล ทองสุข อายุ 79 ปี เครือข่ายชมรมตรังต้านโกง อ.หาดสำราญ จ.ตรัง ได้นำพา นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 31 ปี ผู้เป็นพ่อของ ด.ญ.บี (นามสมมุติ) อายุ 7 ขวบ นักเรียนชั้น ป.1 พร้อมด้วยบรรดาญาติพี่น้อง เข้าเรียกร้องขอความเป็นธรรมผ่านผู้สื่อข่าวประจำ จ.ตรัง
ภายหลังจาก ด.ญ.บี มีอาการปวดอวัยะเพศ มีรอยบวมแดง มีของเหลวสีขาวขุ่น กลิ่นเหม็น ไหลออกมาจากช่องคลอด และมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยเป็นอยู่ จนกระทั่งยายของเด็กสังเกตพบความผิดปกติ จึงสอบถามจนเด็กหญิง เล่าว่าถูก ด.ช.แมน (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ป.6 ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกัน และเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน มีความสนิทสนมกันมาก ได้กระทำการละล่วงละเมิดทางเพศด้วยการใช้อวัยะวะเพศสอดใส่มานานหลายครั้ง และยังมีพฤติกรรมบังคับขู่เข็ญ ทุกครั้งที่ล่วงละเมิดจะใช้มือปิดปาก และสั่งห้ามไม่ให้นำเรื่องไปบอกใคร ไม่เช่นนั้นจะฆ่าให้หมดทุกคน โดยเหตุเกิดที่บ้านของ ด.ช.แมน ในพื้นที่ ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง
หลังจากทางพ่อและยายของเด็กทราบเรื่อง จึงได้เข้าไปพบ พ.ต.ท.ฉุกรี หมัดศรี สว.(สอบสวน) สภ.ปะเหลียน เพื่อตั้งใจเข้าแจ้งความดำเนินคดี แต่ทางพนักงานสอบสวนเพียงแค่รับลงบันทึกประจำวัน พร้อมทั้งได้ทำหนังสือนำส่งตัวเด็ก มาที่ รพ.ปะเหลียน ต่อมาทางโรงพยาบาลได้ส่งตัวมาตรวจที่ รพ.ตรัง เพื่อให้ทางแพทย์ดำเนินการตรวจว่า มีร่องรอยถูกกระทำชำเราหรือไม่ และตรวจพบเชื้ออสุจิด้วยหรือไม่ แต่ทาง รพ.ตรัง จะต้องนำผลตรวจส่งไปที่ รพ.สงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อจะทราบผลอย่างแน่ชัด ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
นายเอ ผู้เป็นพ่อ กล่าวว่า ตอนแรกลูกสาวได้โทรฯ หาตนให้มารับไปอยู่ที่อื่น พร้อมบอกว่าไม่อยากอยู่ใกล้ และเล่นกับ ด.ช.แมน แล้ว เนื่องจากชอบทำเจ็บๆ โดยความเป็นเด็กของลูกจึงไม่รู้ และไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อไปรับจึงทราบว่า ลูกสาวเจ็บอวัยวะเพศ และบอกตนว่าถูก ด.ช.แมน ล่วงละเมิดทางเพศ จึงได้นำลูกเข้าพบพนักงานสอบสวน และนำไปตรวจร่างกาย แต่ตอนนี้ผ่านมาเกือบ 1 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ทราบผล
นายเอ กล่าวต่อว่า ลูกสาวบอกว่าครั้งล่าสุดถูก ด.ช.แมน บีบคอ ปิดปาก ข่มขู่ว่า ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร จะฆ่าให้ตาย และเล่าว่าถูกจับตัวพลิกตะแคงคว่ำ และใช้อวัยะวะเพศชายใส่เข้าไป และเคยถูกทำแบบนี้มาก่อนหน้าแล้ว ซึ่งลูกก็บอกไม่ได้มาก ด้วยความที่เป็นเด็กไม่เข้าใจในเรื่องเช่นนี้ ทำให้สภาพจิตใจลูกย่ำแย่มาก ร้องไห้ ไม่ค่อยกินข้าว ไม่ร่าเริงเหมือนที่เคยเป็น เสียขวัญ และผวา พร้อมถามตนตลอดว่า เมื่อไร ด.ช.แมน จะถูกจับ ในฐานะเป็นพ่อตนเสียใจสุดๆ เสียใจมาก ร้องจนไม่มีน้ำตาแล้ว หลังเกิดเรื่องตนจึงเลยต้องนำลูกย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่นนอกพื้นที่ ซึ่งใครที่มีลูกก็รู้สึกเสียใจเหมือนตนหมด สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดมันก็เกิด
“ตนได้เข้าไปโรงพักหวังแจ้งความและให้ทางตำรวจรับเลขคดี แต่พนักงานสอบสวนบอกว่า บันทึกประจำวันไว้ก่อนและรอผลตรวจร่างกาย พร้อมทั้งบอกว่าไม่สามารถเอาผิดกับเด็กได้ แต่ตนก็ไม่นึกว่าจะล่าช้ามาเกือบเดือนขนาดนี้ และล่าสุดวันที่ 5 ก.ค ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวน ได้เรียกตนไปพบกับเด็กคู่กรณี และพ่อแม่ของเด็กคู่กรณี เพื่อให้ไกล่เกลี่ยกัน ส่วนตนนำลูกสาวไปด้วย โดยการนัดมาเผชิญหน้ากัน ปรากฏว่าเมื่อลูกสาวเห็นเด็กชายคู่กรณี และแม่คู่กรณีสอบถาม โดยใช้น้ำเสียงหนัก ลูกสาวตนจึงเกิดความกลัวขึ้นมาอีกและร้องไห้ ซึ่งการที่นัดไปเจอและสอบถามเด็ก ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพร่วมสอบแต่อย่างใด มีเพียงแค่พนักงานสอบสวนผู้หญิงเพียงคนเดียว” นายเอ กล่าว
นายเอ เล่าด้วยนํ้าเสียงสั่นเครือว่า วันนี้ยอมรับว่าไม่มีหลักฐาน ต้องรอผลแพทย์ แต่ที่ได้มาร้องผ่านผู้สื่อข่าว กลัวจะไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะยังถูกฝ่ายคู่กรณีข่มขู่จะฟ้องกลับ หากตนไปแจ้งความ เพราะทำให้คู่กรณีเสียหาย ตนติดใจที่ทางพนักงานสอบสวนบอกว่า ไม่สามารถดำเนินคดีใดๆ กับ ด.ช.แมน ได้ เนื่องจากเป็นเด็ก และอยากให้ไกล่เกลี่ยกัน ซึ่งความตั้งใจตนอยากให้ตำรวจรับเลขคดี ดำเนินการไปตามขั้นตอนกฎหมาย และให้ทาง รพ. ส่งผลตรวจมาให้เร็วกว่านี้ เพราะล่าช้ามาก และอยากให้เจ้าหน้าที่สหวิชาชีพมาสอบปากคำเด็ก เพราะที่ผ่านมานัดไปเผชิญหน้ากันโดยที่ไม่มีเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพร่วมด้วย และอยากให้ตรวจดีเอ็นเอเด็กชายคู่กรณีด้วย ไม่ใช่ทำผิดขั้นตอน และหวังจะไกล่เกลี่ยเช่นนี้
ขณะที่ยายของเด็กหญิง บอกทั้งน้ำตานองหน้าว่า เรื่องได้แดงขึ้นเพราะหลานปวดฉี่ เมื่อพาไปฉี่ตนจึงล้างให้ แต่หลานบอกว่าแสบอวัยวะเพศ จึงถามว่าโดนอะไรมา หลานจึงบอกว่าไม่กล้าบอกเดี๋ยวจะถูกฆ่า ก่อนที่จะเค้นถามหลานจึงยอมรับ พร้อมบอกว่าใครเป็นคนทำ ตนจึงใช้ไฟฉายส่องอวัยยะเพศหลาน ปรากฏว่าบวมแดง และมีของเหลวไหลออกมา มีกลิ่นเหม็น ซึ่งตนมีหลานเป็นผู้หญิงมากว่า 6 คน จึงรู้ว่าลักษณะของอวัยวะเพศของเด็กรุ่นนี้ไม่เป็นเช่นนี้ และไม่ได้เกิดจากหกล้มหรือสาเหตุอื่นแน่นอน ซึ่งจากเด็กร่าเริงกลายเป็นเศร้าซึม และเมื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บางรายในพื้นที่ก็ กลับถูกปฏิเสธ ตนอายุมากแล้วมาเจอเรื่องนี้ เก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่เลย
ส่วนทางด้าน นายกุศล กล่าวว่า หลังจากญาติเด็กมาขอความช่วยเหลือ จึงได้สอบถามข้อมูล และนำพามาขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน เพราะจะได้เป็นกระบอกเสียงไปถึงหน่วยที่เกี่ยวข้อง และยังติดใจในประเด็นที่ตำรวจบอกญาติว่า ไม่สามารถเอาผิดเด็ก 13 ปีได้ โดยในความเป็นจริงแล้ว สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย เท่ากับว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ จึงอยากให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบด้วย และการปฏิบัติเรื่องผลตรวจร่างกายก็ช้ามาก รวมทั้งสอบถามเด็กโดยไม่มีสหวิชาชีพ จึงอยากให้ คุณกัน จอมพลัง หรือ คุณปวีณา หงสกุล ที่เป็นที่เชื่อมั่นของญาติๆ หากทราบข่าวแล้ว วิงวอนช่วยเข้ามาดูแลช่วยเหลือด้วย.