เรียกว่าเป็นนางเอกเจนใหม่ของช่อง 3 ที่น่าจับตามองสำหรับ พีพี-ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์ ที่ฝากฝีมือการแสดงในผลงานละคร “รักสุดใจยัยตัวแสบ” ที่เพิ่งลาจอ พร้อมโกยหัวใจและคำชื่นชมจากแฟน ๆ ไปเพียบ ล่าสุด “ดาวต่างมุม” ได้มีโอกาสพูดคุยกับสาวสวยคนนี้ทั้งเรื่องผลงานต่าง ๆ ที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะละครฟอร์มยักษ์ของช่อง อย่าง “พรหมลิขิต” และ “ดวงใจเทวพรหม” ที่แฟน ๆ รอคอย นอกจากนี้ยังเผยตัวตน และมุมมองต่อการทำงานในวงการ รวมทั้งไม่พลาดอัปเดตเรื่องหัวใจ และนิยามความรักของเธอกันด้วย

ถามถึงผลงาน “รักสุดใจยัยตัวแสบ”กับการได้มารับบทนางเอกเดี่ยวครั้งแรก รู้สึกยังไงบ้าง?

“เรื่องนี้รับบทนำครั้งแรก แต่ถ่ายพร้อมกันกับอีกเรื่องที่เป็นนางเอกเต็มตัวเหมือนกัน คือเรื่อง ‘ดวงใจ
เทวพรหม ตอน พรชีวัน’ แต่เรื่อง ‘รักสุดใจยัยตัวแสบ’ ออนแอร์ก่อน ซึ่งการมารับบทนำเรื่องนี้กดดันมากค่ะ เนื่องจากคาแรกเตอร์แตกต่างจากหนูมาก หนูต้องพยายามปรับตัวให้ได้ พอเป็นพาร์ตคอมเมดี้ ทุกอย่างมันว่องไว มันก็ค่อนข้างยากสำหรับหนู โชคดีที่ตัวละครรอบข้างเป็นสายตลกหมดเลย ทุกคนมืออาชีพ ลื่นไหลมาก โชคดีที่มีพี่ ๆ อยู่รอบ ๆ เรา แต่มันกดดันตรงที่บางทีเราตามเขาไม่ค่อยทัน เพราะเขาไวว่องและเน้นอิมโพรไวซ์มากค่ะ (ยิ้ม)”

อยากให้คนจดจำผลงานการแสดงครั้งนี้ ของ “พีพี” ยังไง?

“จริง ๆ หนูไม่ได้คาดหวังว่าคนดูต้องรู้สึกแบบไหนตอนหนูเล่น แต่ในทุกครั้งของการทำงาน เราอยากทำผลงาน หรือถ่ายทอด ‘แก้ว’ ออกมาให้ดีที่สุด ให้คนดูได้เห็นว่ามีเด็กผู้หญิงคนนึงรู้สึกแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ แต่พอวันนึงเขาต้องมีใครคนนึงเข้ามาในชีวิต ความสัมพันธ์มันถูกเปลี่ยนไป เราอยากทำยังไงให้แฟน ๆ ดูแล้วรู้สึกสนุกตาม และพัฒนาตัวเองด้วย เพราะมันเป็นเรื่องแรกที่หนูเป็นนางเอกเต็ม ๆ การเป็นนักแสดง หนูก็ไม่อยากเข้ามาแล้วอยู่กับที่ อยากทำให้คนเห็นว่าเราก็เล่นได้ดีขึ้นนะ อยากให้คนสนุกกับสิ่งที่เราเล่น”

อัปเดตผลงานอื่น ๆ เห็นมีบท “แม่ปราง” ลูกสาวพี่หมื่นและแม่การะเกด ใน “พรหมลิขิต” และอีกเรื่องที่แฟน ๆ จับตาคือ “ดวงใจ เทวพรหม” ตอน “พรชีวัน” 2 เรื่องนี้คาแรกเตอร์เป็นยังไง?

“สำหรับคาแรกเตอร์ ‘แม่ปราง’ ก็มีความแสบซน แต่จะเป็นความแสบแบบทะเล้น น่ารัก ขี้อ้อน ขี้แกล้งและเป็นเด็กฉลาด มีความเป็นลูกขุนมูลนาย การเดินการพูดก็จะต้องมีมาดนิดนึง ในความเรียบร้อยตรงนี้มีความทะเล้นบ้างค่ะ ส่วน ‘พรชีวัน’ ก็แสบกวนเหมือนกัน (ยิ้ม) แต่ในความแสบกวน มันก็แตกต่างกันไปอีกค่ะ หนูรู้สึกว่า ‘พรชีวัน’ เป็นเด็กที่ทำตามทวดอ่อนหรือคุณแม่บอก และเขาก็จะสนุกกับภารกิจที่เขาได้รับ มีความเป็นเด็กตลก แบบไม่รู้ว่าตัวเองตลก”

ทั้ง “พรหมลิขิต” และ “ดวงใจเทวพรหม” เป็นละครภาคต่อ ของผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ส่วนตัวกดดันมั้ย?

“สำหรับ ‘พรหมลิขิต’ กดดันมาก เรื่องพีเรียด ภาษาก็สำคัญ นักแสดงรอบตัวเราก็ตัวพ่อตัวแม่ เราดีใจที่ได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในโปรเจกต์นี้ค่ะ แต่พรหมลิขิตก็อาจยังไม่กดดันมากเท่ากับ ‘พรชีวัน’ เพราะพรหมลิขิตมีไม่กี่ซีน แต่ ณ ตอนนั้นก็กดดันมาก ๆ เขาเคยร่วมงานกันมาก่อน แล้วหนูเพิ่งเข้าไป มันจะมีความแบบจะทำยังไงให้ตัวละครนี้มันกลมกลืนกับเรื่องราวในพรหมลิขิตมากที่สุดค่ะ แต่ ‘พรชีวัน’ มันกดดันในแง่ที่เราเป็นตัวนำของเรื่อง และเล่นกับพี่เก้า (นพเก้า เดชาพัฒนคุณ) ที่แสดงเป็นพี่ศรุต โชคดีที่พี่คิง (สมจริง ศรีสุภาพ) เขาเวิร์กช็อปนักแสดงหลายคนด้วยกันก่อน และส่วนใหญ่ก็เป็นวัยใกล้เคียงกัน ก็จะเล่นกันง่ายขึ้นค่ะ”

 กลัวการเปรียบเทียบกับภาคก่อนหน้าบ้างมั้ย เตรียมรับมือกับคอมเมนต์ต่าง ๆ ยังไง?

“ก็อาจมีกังวลอยู่บ้าง แต่ ณ ตอนที่เราถ่ายทำ เราก็รู้สึกสนุกกับงานที่เราทำ ทีมงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เราก็ทำเต็มที่แล้ว สุดท้ายคนดูจะชอบหรือไม่ชอบ ก็อยู่ที่แฟน ๆ เลยว่าเขาคิดยังไง แต่ถามว่ามันจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน เราตอบไม่ได้เลย แต่เรารู้แค่ว่า ณ ตอนที่ถ่ายทำอยู่ เราสนุก ผลจะออกมาเป็นยังไง ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เพราะว่าเราไม่สามารถบังคับหรือควบคุมสถานการณ์อะไรได้ แต่อย่างน้อยตอนที่เราเล่นไป เราเต็มที่แล้วหรือยัง มีความสุขมากน้อยแค่ไหน แค่นั้นเลยค่ะ ในความรู้สึกหนู และที่สำคัญคือเราสามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ระหว่างถ่ายทำ ไม่ว่าจะฝนตก แดดร้อน ใด ๆ ก็แล้วแต่ มันเป็นความทรงจำที่ดีมาก ๆ ค่ะ หนูดีใจและคุ้มค่าที่ได้เข้ามาอยู่ในสิ่งแวดล้อมแต่ละกองแบบนี้ค่ะ”

กว่าจะได้ก้าวมาเป็นนางเอก ไม่ใช่เรื่องง่าย ให้คุณค่ากับคำว่า “นางเอก” ยังไง?

“หนูรู้สึกว่าทุกเรื่อง ทุกโปรเจกต์ ทุกตัวละครมีความสำคัญหมดเลย เราไม่สามารถละเลยตัวละครใดตัวละครหนึ่งได้เลย เพราะขาดตัวละครใดไป ก็ไม่ใช่เรื่องราว ทุกคนมีความสำคัญหมด แต่แค่ว่าโอเคตัวพระนางอาจเป็นตัวดำเนินเรื่องในบางครั้งแต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง เพราะมันก็มีละครหลายเรื่องที่ตัวร้ายดำเนินเรื่อง เพื่อให้เรื่องมันขับเคลื่อนไป หนูเลยรู้สึกว่าทุกตัวละครมันสำคัญหมดเลย”

ในฐานะนางเอกเจนใหม่ของช่อง 3 มีมุมมองต่อการแข่งขันและความคาดหวังที่แฟน ๆ มีต่อเรายังไง?

“หนูรู้สึกว่าการแข่งขันเป็นเรื่องที่ดีในแง่ที่ว่า มันทำให้ตัวเราพัฒนาตัวเอง และวงการบันเทิงไทยได้ขับเคลื่อนและก้าวหน้าไปมากขึ้น ในขณะเดียวกัน หนูไม่ได้รู้สึกว่าต้องแข่งขันกับใคร หนูต้องแข่งขันกับตัวเองคนเก่ามากกว่า ณ วันนี้เราทำได้เท่านี้ พรุ่งนี้เราต้องดีขึ้นกว่าเดิมมากกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าต้องแข่งขันกับคนนั้นคนนี้ แต่หนูต้องแข่งกับตัวอง ว่าวันนี้เราทำได้แค่นี้เอง แล้วพรุ่งนี้เราต้องทำให้ได้มากกว่าเดิม ต้องดีกว่าคนเมื่อวานมากกว่า”

อะไรที่ทำให้เราหลงรักการแสดง จนอยากยึดเป็นอาชีพ

“แรกเริ่มมาจากเรียนแอคติ้งก่อน และรู้สึกว่ามันน่าสนุกดีกับการที่เราได้ทำอะไรที่เราไม่สามารถทำในชีวิตประจำวันได้ เช่น อยู่ ๆ จะโกรธ หรือจะร้องไห้ในพื้นที่ที่ไม่มีใครมาตัดสินเราในตอนที่เรียนแอ็กติ้ง ซึ่งในชีวิตจริงเราคงไม่สามารถปลดปล่อยความรู้สึกเหล่านี้ออกมาได้ ณ จุดนี้ มันเริ่มเป็นความรู้สึกว่า การแสดงมันน่าสนใจ เรารู้จักร่างกายเรามากขึ้น เรารู้ว่าทำอะไรได้มากกว่าการสื่อสารในชีวิตประจำวัน และทำให้หนูได้ไปอยู่ในบางที่ที่บางทีอาจเกิดขึ้นในชีวิตของหนูก็ได้ การแสดงเป็นเหมือนอีกช่องทางนึงที่เปิดโอกาสให้หนูได้ทำอะไรหลากหลาย ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ว่าเรามีความสามารถแบบนี้นะ หรือถ้าเรามีคุณลักษณะนิสัยแบบนี้ เราจะเป็นคนแบบไหน ลองเปลี่ยนตัวเองเป็นคนอื่นดูบ้าง มันก็น่าสนุกดี”

เคยมีมุมที่ท้อ อยากยอมแพ้ และมองว่าการแสดงไม่น่าใช่ทางของเราบ้างมั้ย เอาชนะมันมาได้ยังไง?

“มีค่ะ มันค่อนข้างเหนื่อยมากด้วยมั้งในช่วงนั้น เราเพิ่งย้ายตัวเอง จากตอนเป็นนักศึกษา แค่จดเลกเชอร์เรียน พอเราเริ่มเข้ามาทำงาน ก็ต้องรับผิดชอบหลายอย่างมากขึ้น มีวินัยกับตัวเองมากขึ้น อันนี้อาจเป็นจุดแรกจากที่เปลี่ยนตัวเองจากนิสิต มาเริ่มโตมากขึ้น ไม่ได้มีใครมาสั่งสอนเราแล้ว เวลาเราโดนด่าเรื่องงาน คือโดนด่าจริง ๆ เราพูดถึงและแข่งกันด้วยความสามารถ ไม่ใช่แค่ความรู้ สอบตกมาเรียนซ่อมใหม่ ก็ไม่ใช่แบบนั้น อันนี้คือการทำงานที่ออกไปแล้ว มันคือภาพลักษณ์ของเราเลย หนูเลยรู้สึกเหนื่อยท้อบ้าง เวลาที่เราทำไมยังทำไม่ได้สักที แต่หนูเชื่อว่าทุกคนจุดเริ่มต้นมันมักยากเสมอ เหมือนเวลาเราเข็นรถ ส่วนตัวมองว่าจุดเริ่มต้น กว่าที่เราผลักให้มันเคลื่อนได้ มันใช้แรงมากกว่าปกติ แต่พอมันเคลื่อนได้แล้ว หลังจากนั้นก็ใช้แรงน้อยลง หนูก็เอามาปรับใช้กับการทำงานในวงการบันเทิงเหมือนกัน ถ้าตอนแรกมันไม่ยาก ตอนหลังมันก็จะไม่ง่ายหรอก ถ้ามันง่ายแต่แรก เราก็อาจไม่รู้เลยว่าข้างหน้ามันจะเป็นยังไงบ้าง ก็มีเหนื่อยบ้างแต่มันต้องเป็นแบบนี้ก่อนช่วงแรก เราก็พยายามถีบตัวเอง และพัฒนาตัวเองให้ได้มากที่สุด เพื่อให้อนาคตมันง่ายขึ้นค่ะ”

เคยเจอคอมเมนต์ที่ไม่น่ารักมั้ย รับมือกับมันยังไง?

“มีคอมเมนต์แบบที่เราอ่านแล้วเราไม่ชอบบ้าง แรก ๆ ก็อาจมีนอยด์ ๆ ค่ะ แต่พอหนูกลับมานั่งคิดใหม่แล้ว ก็รู้สึกว่าเวลาของเรามีค่าและสำคัญ เราควรเอาเวลาเหล่านี้ไปทำประโยชน์กับตัวเอง พัฒนาตัวเองมากกว่า บางครั้งเราอาจต้องขอบคุณคอมเมนต์เหล่านี้ด้วยซ้ำ อาจเป็นอีกคนที่ทำให้เราอยากพัฒนาตัวเองมากขึ้น มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เป็นดาบสองคม ข้อเสียถ้าอ่านแล้วรู้สึกแย่ มันก็อาจนอยด์ แต่บางทีมันก็เป็นข้อดี ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองมากขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น อยากขอบคุณบางคอมเมนต์ เขาอาจจะคิดไม่ดีกับเรา แต่คอมเมนต์เหล่านี้แหละ ทำให้เราเก่งขึ้นและโตขึ้นค่ะ คือถ้าคอมเมนต์เป็นประโยชน์ ติเพื่อก่อ มันก็ดี ทำให้เราพัฒนามากขึ้น ถ้าเป็นคอมเมนต์เพื่อความสะใจ ไม่ได้เกิดประโยชน์กับเรา ช่วงแรกอาจจะ อุ้ย! ตกใจบ้าง แต่หลัง ๆ ก็ไม่อยากให้คอมเมนต์เหล่านี้มารวนชีวิตเรา เราก็เอาเวลาที่มีค่าของเราไปพัฒนาตัวเองให้ดีดีกว่า ถ้าอะไรที่เป็นพลังลบอย่าไปแตะ เราต้องดีดออกให้เร็วที่สุดค่ะ พยายามอยู่กับคนที่รักและซัพพอร์ตเราน่าจะดีกว่า”

มีอะไรอยากพิสูจน์ตัวเอง หรือเอาชนะบ้างมั้ย?

“อยากแสดงละครแล้วคนอินมาก ๆ ไม่ได้หวังว่าคนต้องดูเยอะ แต่เรารู้สึกว่าถ้าคนดูแล้วเชื่อจริง ๆ ว่าเราคือตัวละครนั้น นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่หนูประสบความสำเร็จในการเข้ามาในวงการบันเทิง เราทำได้แล้วนะ เราสามารถเป็นอีกตัวละครหนึ่งได้อย่างเต็มรูปแบบแล้ว”

อัปเดตหัวใจบ้าง มีใครหรือยัง?

“ยังเลยค่ะ มีแต่คนคิดว่ามีแล้วแน่ ๆ แต่ไม่มี (หัวเราะ) หนูก็เปิดใจนะคะ ถ้ามีใครเข้ามาคุย ก็เปิดตลอด เหมือนเราก็ดูว่าอาจด้วยช่วงเวลาด้วย ช่วงนี้ทำงานเยอะ เลยให้ความสำคัญกับหน้าที่การงานมากกว่า เพราะตอนนี้ความที่หนูเพิ่งเริ่มเดินขึ้นบันไดของวงการบันเทิง ก็อยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อยากจะให้เวลากับมันอย่างเต็มที่ก่อน แต่ไม่ได้ปิด”

คนที่จะเอาชนะใจเราได้ เป็นยังไง?

“หนูอยากให้เข้าใจเราในเรื่องการทำงานของเรา อยากให้เข้าใจว่ามันคือการแสดง รวมถึงเวลาการทำงานของเรา ไม่ได้เหมือนอาชีพอื่นมากนัก ไม่มีเวลาแน่นอน ก็อยากให้เข้าใจตรงนี้มากกว่าค่ะ ถ้าเรารับได้ เข้าใจในเรื่องเวลา และเข้าใจในหน้าที่ที่เราต้องทำ การแสดงละคร เล่นบทบาทสมมุติต่าง ๆ ก็โอเคแล้ว ถ้าเป็นเรื่องสรีระ ก็ชอบคนรักสุขภาพ ดูแลตัวเอง”

ท้ายสุดนิยาม “ความรัก” ของเรา ณ วันนี้ เป็นยังไง?

“มันคือการหวังดีกับคนที่เรารักค่ะ เราอยากให้เขาได้ดี ทุกครั้งที่เขาประสบความสำเร็จ และได้สิ่งดี ๆ เราก็พร้อมยินดีไปกับเขา และถ้าเขามีปัญหา เราก็อยากเอาใจช่วยเขา มันคือการหวังดีต่อกัน คิดดีต่อกัน ไม่มีพลังลบ มีแต่พลังบวกที่อยากมอบให้ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ”

เชื่อว่าบทสัมภาษณ์นี้จะทำให้แฟน ๆ ได้รู้จักตัวตนของ “พีพี” มากยิ่งขึ้น และด้วยความไม่หยุดพัฒนาฝีมือ บวกพลังบวกในตัวเธอ จะทำให้ “พีพี” ขึ้นแท่นอีกหนึ่งนางเอกที่มีอนาคตไกลแน่นอน.

วันวิสาข์ ดอกเงิน : เรื่อง