…นี่เป็นการวิเคราะห์จาก ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล ผู้อำนวยการหลักสูตร aMBA (Analyst MBA) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารการตลาด  ที่ให้มุมมองกรณี “คอนเทนต์ของยูทูบเบอร์” ในปัจจุบัน โดยได้สะท้อนเรื่องนี้กรณีนี้กับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ไว้ในช่วงที่สังคมเกิด “กระแสเซ็งแซ่” และ “มีเสียงวิจารณ์อื้ออึง” ถึง…

“การสร้างคอนเทนต์” ของ “ยูทูบเบอร์”

ที่เนื้อหา “สุ่มเสี่ยง-ล่อแหลม” มากขึ้น

และก็เกิด “ดราม่าอื้ออึง!!” ขึ้นบ่อย ๆ

ทั้งนี้ นับวัน “คอนเทนต์ล่อแหลม” ใน “ตลาดยูทูบเบอร์” ดูจะเป็นประเด็น-เกิดกระแสอยู่เรื่อย ๆ อย่างล่าสุดที่เป็นกระแสครึกโครมคือรายการของยูทูบเบอร์คนดังรายหนึ่งซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งทำเนื้อหาในคลิปด้วยการให้คนที่แต่งกายเหมือนชุดเครื่องแบบตำรวจกว่าครึ่งร้อยทำการไล่ล่าทีมงานในห้างสรรพสินค้าร้าง ที่เกิดเป็นประเด็นและมีการตรวจสอบเกี่ยวกับบุคลที่แต่งกายด้วยชุดตำรวจที่ปรากฏในคลิปนั้นว่า…ใช่ตำรวจตัวจริงหรือไม่? …นี่ก็กรณีหนึ่งซึ่งเพิ่งเกิดขึ้น

ส่วนอีกกรณีที่เป็นดราม่าไล่เลี่ยกัน ซึ่งมีเสียงวิจารณ์ถึงความ “ไม่เหมาะสม” คือคลิปโฆษณาของคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง ที่มีการเผยแพร่วิดีโอขณะให้บริการทำเลเซอร์บริเวณอวัยวะเพศหญิง!!! โดยภาพที่ปรากฏออกมาสู่สาธารณะผ่านช่องทางยูทูบนั้น…เห็นอวัยวะเพศอล่างฉ่างแบบไม่มีการเซ็นเซอร์!!! …นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่เซ็งแซ่

“คอนเทนต์ล่อแหลม” นับวันดูจะยิ่งแรง

โซเชียลยุคนี้มีคอนเทนต์แบบนี้เกลื่อน!!

และกับการสะท้อน “ปรากฏการณ์” จากกรณีนี้นั้น เรื่องนี้ ดร.ภูษิต ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารการตลาดและการตลาดออนไลน์ ก็ได้วิเคราะห์และฉายภาพเรื่องนี้ไว้กับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ว่า…ตอนนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสูงกับผู้คน และก็เป็นตลาดการค้าใหม่ ทำให้ใคร ๆ ก็อยากที่จะ ก้าวเข้าสู่โลกของการเป็นยูทูบเบอร์ เพราะนอกจากความสนุกสนาน และความบันเทิงแล้ว ในยุคโซเชียลมีเดียแบบนี้… ยูทูบเบอร์ก็เป็นอาชีพ โดยมีเรื่องของ “เม็ดเงินรายได้” และพ่วง “ความมีชื่อเสียง” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ยุคนี้ใคร ๆ ก็อยากเป็นยูทูบเบอร์…

ผู้สันทัดกรณีท่านเดิมขยายความเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้อีกว่า…ปัจจัยรายได้ กับปัจจัยความมีชื่อเสียง ทั้ง 2 เรื่องเกี่ยวโยงกัน เพราะเมื่อมีชื่อเสียง-เป็นคนดัง สิ่งที่จะตามมาก็คือรายได้ ทั้งในรูปของ “เม็ดเงินสนับสนุนการทำคอนเทนต์” รวมถึง “รายได้จากการรีวิว” ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่ายูทูบเบอร์ หรือบล็อกเกอร์ มีการแข่งขันกันเดือด เพื่อดึงให้คนเข้ามาสนใจ…

ทาง ดร.ภูษิต ยังระบุถึงกรณี “แหล่งรายได้” อีกว่า… “รายได้ของยูทูบเบอร์” นั้นมีทั้ง “รายได้ทางตรง” และ “รายได้ทางอ้อม” โดยรายได้ทางตรงของยูทูบเบอร์จะมาจาก “ยอดวิว-ยอดติดตาม” ซึ่งจำนวนยอดวิวมีส่วนสำคัญต่อรายได้ในส่วนนี้ ยิ่งมีคนดูมาก เม็ดเงินก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเรตดังกล่าวอาจจะปรับขึ้นหรือลดลงได้ ขณะที่ในส่วนของรายได้ทางอ้อมนั้น หลายคนอาจจะคิดว่ารายได้ทางตรงน่าจะมีเม็ดเงินมากกว่า แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นรายได้ทางอ้อมที่ได้มากกว่า เนื่องเพราะเป็นเม็ดเงินที่มาจาก “สปอนเซอร์” ที่ติดต่อ “ซื้อโฆษณา” โดยสิ่งที่สปอนเซอร์ใช้ตัดสินใจซื้อโฆษณานั้น…

ก็มักพิจารณาที่ “ยอดวิว-ยอดติดตาม”

ยิ่งรายการดัง-ช่องดัง…ก็จะยิ่งสนใจ…

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งแหล่งรายได้ คือ “ค่าตัวยูทูบเบอร์”ที่จะมาจากการได้รับเชิญไป โชว์ตัวตามงานอีเวนต์ต่าง ๆ หรือร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งเมื่อเป็น “ยูทูบเบอร์ที่มีชื่อเสียง” ยูทูบเบอร์ที่มีกลุ่มแฟนคลับติดตามจำนวนมาก ก็จะสามารถมีรายได้จากงานในลักษณะนี้ ซึ่งก็ทำให้ยูทูบเบอร์ยิ่งมีชื่อเสียงและเป็นจุดสนใจ ไม่ต่างจากศิลปิน-ดารานักแสดง

ต่าง ๆ เหล่านี้ก็อาจจะเป็นแรงผลัก…

สู่กรณี “คอนเทนต์ห่าม ๆ เกลื่อนไทย”

ทั้งนี้ ดร.ภูษิต ยังเคยสะท้อนกรณี “มีคอนเทนต์หมิ่นเหม่เกลื่อนสังคมไทย” ไว้ด้วยว่า… ด้วยความที่ ตลาดยูทูบเบอร์ตอนนี้ในสนามมีผู้เล่นเยอะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ยูทูบเบอร์ต้อง “แข่งกันทำคอนเทนต์แปลกใหม่” เพื่อเพิ่มโอกาสในการแย่งชิงยอดจากยูทูบเบอร์คนอื่น ๆ เพราะทุกวิวที่ได้มาคือเม็ดเงินที่วิ่งเข้าหานั่นเอง จนบางครั้งก็มีที่ “เลยเถิดเกินไป” เช่น คอนเทนต์เสี่ยงอันตราย ขายความเสี่ยง หรือเน้นขายความหวือหวา ที่หลัง ๆ มีคอนเทนต์แบบนี้ที่เลยเถิดให้เห็นเยอะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตลาดนี้แข่งขันกันสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง “ก็น่าเป็นห่วงไม่น้อย!!” …ทาง ดร.ภูษิต ระบุไว้

“การแข่งขัน” แม้ทำให้มี “ไอเดียใหม่ ๆ”

แต่ “ยิ่งแข่งขันสูง…ยิ่งเสี่ยงจะเลยเถิด”

จน “เกิดคอนเทนต์หมิ่นเหม่อื้อซ่า!!”.