24 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ครบรอบปีที่ 91 ของการเปลี่ยน แปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หัวใจสำคัญของ 2475 คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรไทย ใช้ผ่าน 3 สถาบันหลัก บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ

ผ่านมา 91 ปี ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนโฉมยังไง ไทยก็ยังเผชิญหน้ากับ “ปฏิวัติ” โดยกองทัพรวม 24 ครั้ง สำเร็จ 13 ครั้ง ล้มเหลว 11 ครั้ง เฉลี่ยทุก 3-4 ปี จะยึดอำนาจ 1 ครั้ง ด้วยข้ออ้าง ซ้ำซากเดิม ๆ ตามด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง เป็น วงจรอุบาทว์ 10 ปีนี้ นอกจากปฏิวัติ 2 ครั้งแล้ว ฝ่ายอนุรักษ์ยังค้นพบเครื่องมือสำคัญ ใช้ ตุลาการภิวัตน์ และองค์กรอิสระ ป.ป.ช., กกต. เป็นเครื่องจักรสังหาร ยุบพรรค ตัดสิทธิการเมือง

รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ จาก ม.รังสิต นักวิชาการเลื่องชื่อ ที่ทำนายผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ตรงเป๊ะแม่นยำสุด ๆ ว่า ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ จะได้เสียงเกินล้าน ทิ้งห่างทุกแคนดิเดต อภิปรายที่ธรรมศาสตร์ ล่าสุดว่า ในช่วง 91 ปีนี้ มีความเคลื่อนไหวที่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างถึง 3 ครั้ง ครั้งแรก การปฏิวัติ 24 มิ.ย. 2475 ครั้งที่ 2 การลุกฮือของขบวนการนักศึกษา 14 ตุลาฯ 2516 และครั้งที่ 3 การเลือกตั้ง 14 พฤษภาฯ 2566 ที่ผ่านมา โดยผลเลือกตั้งล่าสุด บอกว่า ประชาชนเชื่อมั่นการแสดงพลังผ่านบัตรเลือกตั้งว่า จะกลายเป็นพลังเปลี่ยนบ้านเมืองแทนการลงท้องถนนได้ ทำให้พรรคก้าวไกลได้ปาร์ตี้ลิสต์ถึง 14 ล้านเสียง ขณะเพื่อไทยได้ 10.8 ล้านเสียง รวม 8 พรรคประชาธิปไตย 26-27 ล้าน หรือ 75% ของผู้ใช้สิทธิทั้งหมด

ถือได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย

เราเห็นด้วยกับ อ.ธำรงศักดิ์ ว่า นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย ที่ทำให้พรรคก้าวไกลซึ่งเป็นพรรคคนรุ่นใหม่หาเสียงชนิดเด็ดเดี่ยว “มีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา” เน้นการเปลี่ยนโครงสร้าง ปฏิรูปกองทัพ ลดนายพล เลิกเกณฑ์ทหาร ทลายทุนผูกขาด แก้ไข ม.112 ทำงบประมาณ Net Zero ได้รับเลือกตั้งมากสุด กลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชนิดหักปากกาเซียน

การต่อสู้ครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างพรรคฝ่ายรัฐบาลเดิมกับพรรคฝ่ายค้านเดิม แต่คือการต่อสู้ระหว่างพลังอำนาจฝ่ายเสรีประชาธิปไตยกับอำนาจเก่าฝ่ายอนุรักษ์-จารีตนิยม ที่ใกล้จุด “แตกหัก” อีกครั้ง ก็หวังว่า เพื่อไทยกับก้าวไกล จะรู้ทัน รู้สำนึกว่าเก้าอี้ “ประธานสภา” ที่แย่งกันอยู่นั้น เป็นเรื่องเล็กมาก…ประชาชนขอบอก

ถึงจุดนี้ จึงไม่แปลกที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะเผชิญการต่อต้านอย่างถึงที่สุด 250 ส.ว.ลากตั้งมรดกบาป รัฐธรรมนูญอัปยศ ปี 60 จึงกล้าประกาศไม่แคร์ฉันทามติ 27 ล้านเสียง ยืนยันไม่โหวตเลือกพิธาเป็นนายกฯ แถมปล่อยข่าวทุ่ม 6 พันล้านซื้อ 100 งูเห่าตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ป่วนเพื่อไทยพลิกขั้ว รวมทั้งหาคดีอื่นใส่พิธา แทนคดีถือหุ้นไอทีวีที่คนรู้ทันตั้งข้อสังเกตว่า ฉ้อฉล สมคบคิดหรือไม่ เป็นคดีขายที่ดินราคาถูกแทน ราว “หมาป่ากับลูกแกะ”

ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญ ส่งหนังสือถึง “อัยการสูงสุด” 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ให้ตอบภายใน 15 วัน คือ 11 ก.ค. ก่อนสภาจะโหวตเลือกนายกฯ 13 ก.ค. 66 แค่ 2 วัน ปมหาเสียง แก้ไข ม.112 เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ อย่าลืม สามนิ้วเคยโดนมาแล้ว เรียกร้องยกเลิก ม.112 เท่ากับล้มล้างการปกครอง แต่ข้อเสนอก้าวไกลคือ แก้ไขในสภา ไม่ใช่ยกเลิก แล้วผลจะต่างหรือไม่?!?

แต่ไม่ว่าจะออกหน้าไหน นี่คืออีก “ชนัก” ที่จะปักบนหลังพิธาทันเวลา และอาจนำไปสู่การยุบพรรคกับตัดสิทธิการเมืองได้อีก ทั้งเป็นข้ออ้างให้ ส.ว.ลากตั้งหยิบฉวยมาใช้เขี่ยทิ้ง 26 ล้านเสียงของประชาชนได้อย่างชอบธรรมด้วย

จะทำสำเร็จเป็นการ “ปฏิวัติเงียบ” โดยไสยศาสตร์ทางกฎหมายแทนการ “ขี่รถถัง” อีกครั้งหรือไม่ คอยดูกัน

————————–
ดาวประกายพรึก