เรียกได้ว่า ช่วงเวลานี้ คือช่วงเปลี่ยนยุคสมัยของวงการฟุตบอลเลยก็ว่าได้

คริสเตียโน โรนัลโด และลิโอเนล เมสซี 2 นักเตะที่ผลัดกันครองรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก หรือ “บัลลงดอร์” มาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ย้ายไปเล่นในลีกชั้นรองในช่วงบั้นปลาย

คาริม เบนเซมา และลูก้า โมดริช นักเตะเจ้าของบัลลงดอร์ ปี 2022 และ 2018 ก็เลยช่วงพีคของตัวเองมาแล้ว

วันนี้ เราจะพาไปรู้จักกับดาวดวงใหม่ ที่จะมาสานต่อตำนานยุคต่อไป มีใครบ้างที่จะมีโอกาส เป็นผู้คว้ารางวัลนี้ ในปีหน้า (2024)

จูด เบลลิงแฮม (รีล มาดริด)
เบลลิงแฮม เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในฟุตบอลโลกปีก่อน ที่กาตาร์

เขากลายเป็นนักเตะดาวรุ่ง ที่มีค่าตัวแพงที่สุดอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอล และเป็นนักเตะอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดอันดับ 2 หลังจากที่เขาย้ายมาร่วมทีมมาดริด ด้วยค่าตัว 103 ล้านยูโร

แม้จะพลาดโอกาสพาโบรุซเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์บุนเดส ลีกา แต่ เบลลิงแฮม ก็มีผลงานส่วนตัวที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาลสุดท้ายที่ดอร์ทมุนด์

อีกทั้งยังสร้างประวัติศาสตร์ เป็นกัปตันทีมที่อายุน้อยที่สุดของดอร์ทมุนด์ ด้วยวัยเพียง 19 ปี

เบลลิงแฮม ใช้เวลาเพียง 4 ปีเท่านั้น จากเบอร์มิงแฮม ซิตี้ จุดเริ่มต้นของเขา สู่ซานติอาโก เบอร์นาบิว เรียกได้ว่าเป็น 4 ปีมหัศจรรย์ ของดาวโรจน์วัย 19 ปี ที่มาไกลขนาดนี้

เออร์ลิง ฮาลันด์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
ฮาลันด์ เป็นผู้เล่นคนแรก ที่ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยม และรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยม ของพรีเมียร์ ลีก ในฤดูกาลเดียวกัน

ดาวเตะชาวนอร์เวย์ อาจเป็นทายาทอสูรรุ่นต่อไปต่อไป เขาทำประตูได้ถล่มทลาย หลังจากย้ายมาเล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษเพียงปีแรก

โดยเขาถล่มไปทั้งสิ้น 36 ประตู ในศึกพรีเมียร์ ลีก ทำลายสถิติที่ดีที่สุดก่อนหน้านี้ 34 ประตูในหนึ่งฤดูกาล ของ อลัน เชียเรอร์ และแอนดี โคล ที่ไม่มีใครทำลายได้เป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ

ฮาลันด์ ยิงไปถึง 52 ประตูจาก 53 นัด ในฤดูกาลที่จบไป ทำให้เขาเป็นเพียงผู้เล่นคนที่สองในประวัติศาสตร์ และเป็นคนแรกในรอบ 95 ปี ของลีกสูงสุดอังกฤษ ที่ทำประตูได้มากกว่า 50 ประตู ในทุกรายการ

เขายังทำไปแล้ว 229 ประตู ตลอดการเป็นนักเตะอาชีพทั้งกับสโมสรและทีมชาติ ด้วยวัยเพียง 22 ปี

วินิซิอุส จูเนียร์ (รีล มาดริด)
ปีกความเร็วสูง ชาวบราซิล ผู้ทำเหล่ากองหลังผวามาแล้วหลายคน

ฤดูกาล 2022/23 ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ดีของเขา โดยเขาทำไป 23 ประตู 21 แอสซิสต์ ในทุกรายการ

ทำให้มีส่วนกับประตูมากเป็นอันดับ 3 ของลีกชั้นนำของยุโรป ตามหลัง ฮาแลนด์ และ เอ็มบัปเป

ดาวเตะวัย 22 ปี พัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อนๆ ซึ่งหากย้อนกลับไปในฤดูกาล 2020/21 เขาทำได้เพียง 6 ประตู กับอีก 4 แอสซิสต์ จากทุกรายการ

เรียกได้ว่าช่วงนั้นแฟนบอล มาดริด ก็เอือมระอาอยู่ไม่น้อย

แต่ด้วยอายุแค่เพียง 20 ปีในตอนนั้น วินิซิอุส ก็ค่อยๆพัฒนาตัวเองมา จนเป็นที่ยอมรับ และเป็นกำลังหลักของ มาดริด ในที่สุด

คีลิยัน เอ็มบัปเป (ปารีส แซงต์ แชร์กแมง)
หลังย้ายมาจาก โมนาโก มาอยู่ เปแอสเช ในปี 2017กองหน้าชาวฝรั่งเศส ทำไปแล้ว 212 ประตู กับอีก 98 แอสซิสต์ จาก 260 เกม

ทำให้ เอ็มบัปเป้ ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีก เอิง เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

เขายังเป็นส่วนสำคัญในการพาฝรั่งเศส คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2018

ด้วยวัยเพียง 19 ปี เอ็มบัปเป ยิงประตูในทีมชาติไปแล้ว 38 ประตูจาก 88 นัด ทำให้เขาอยู่อันดับที่ 5 ในรายชื่อผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติฝรั่งเศส

ตามหลัง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ เจ้าของสถิติปัจจุบันเพียง 15 ประตู

เอ็มบัปเป มีข่าวพัวพันกับการย้ายไป มาดริด หลายต่อหลายครั้ง ซึ่งหากถ้าเขาได้ย้ายไปจริงๆ อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่อาจทำให้เขา ก้าวไปอีกขั้นของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

เนย์มาร์ (ปารีส แซงต์ แชร์กแมง)
เนย์มาร์ ในวัย 31 ปี ไม่ใช่นักเตะรุ่นใหม่ แต่เรียกได้ว่า ครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่าจะเป็นเจ้าของบัลลงดอร์ ต่อจาก เมสซี และโรนัลโด

แต่เขาก็ไปไม่สุด เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง แถมเจ็บทีก็พักนาน

ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงเป็น หนึ่งในสตาร์ที่ยิ่งใหญ่ของวงการฟุตบอล

ปีกชาวแซมบ้า รายนี้มีส่วนร่วม 35 ประตูในทุกรายการเมื่อฤดูกาลที่แล้วกับ แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บอีกจนได้ ช่วงโค้งท้ายฤดูกาล

เมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว เนย์มาร์ ทำลายสถิติดาวซัลโวของทีมชาติบราซิล ของเปเล่ที่ 77 ประตู ด้วยประตูที่ยิงในรอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 2022 ที่พบกับโครเอเชีย

ถึงแม้จะทำลายสถิติตำนานรุ่นพี่อย่างเปเล่ได้ แต่เขาก็ไม่อาจพาบราซิลคว้าแชมป์โลกได้ดั่งฝัน

สำหรับเนย์มาร์ ในอายุเลข 3 เขายังมีโอกาสคว้าบัลลงดอร์อยู่ ถึงแม้อายุมากขึ้น แต่เขายังคงมีฝีเท้าที่จัดจ้านเสมอยามลงสนาม

เนย์มาร์ อาจจะคว้ามันมาครองได้สักครั้ง เหมือน ลูกา โมดริช ที่ก็เพิ่งมาได้ตอนอายุ 33 ปี.