Spider-Man: Across the Spider-Verse

เมื่อสื่อบันเทิงต่างประเทศลงข่าวทำนองว่า Spider-Man: Across the Spider-Verse ภาพยนตร์แอนิเมชั่นของ Sony Animation สามารถทำรายได้เปิดตัวสูงถึง 120.5 ล้านดอลลาร์ แซงหน้า Guardians of the Galaxy Vol.3 ที่ทำรายเปิดตัว 118.4 ล้านดอลลาร์ ทำให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดในซัมเมอร์ 2023 สวนทางกับ รายได้ของ “เงือกน้อยผจญภัย” (The Little Mermaid) ที่รายได้ตกแบบไม่น่าเชื่อ แถมสื่อบันเทิงมะกัน กลับไปเต้าข่าวกล่าวหาว่าตลาดฝั่งเอเชีย อ้างว่า จีนและที่อื่น ๆ ไม่ชอบตัวเอกสีผิว ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย

เคยอธิบายไปแล้วว่าจุดอ่อนของ “The Little Mermaid” ก็คือการเลือกคนไม่ถูกกับคาแรกเตอร์ตัวละคร ไม่ได้เกี่ยวกับเชื้อชาติ สีผิว เผาพันธุ์ ขณะที่ Spider-Man: Across the Spider-Verse ตัวเอกผิวสีเช่นกัน แต่ทำไมคนชื่นชม ติดตามดูกันหลายรอบ หากทาง Walt Disney Studios ยังชอบการวางตัวละครแบบ “ตามใจฉัน” สุดท้ายหนังก็จะทำรายได้แบบ “หืดจับ” เช่นนี้ต่อไปละครับผม…

ย้อนรอย Spider-Man: Into The Spider-Verse (2018) เมื่อ “ไมล์ โมราเลส” เด็กหนุ่มผิวสีต้องมารับหน้าที่เป็นไอ้แมงมุมแทน “ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์” ที่เสียชีวิตลงพร้อมกับพลังความสามารถพิเศษกว่านั่นก็คือ สามารถปล่อยไฟฟ้าได้ และยังพรางตัวได้อีกด้วย โดยหลังจากต่อสู้กับ คิงส์พิ้น และช่วยเหลือเพื่อนจากโลกอื่น ได้แก่ “เกว็น สเตซี่” หรือ “Spider-Gwen”, Spider-Man (ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์), Spider-Man Noir (ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์), Spider-Ham และ เพนี ปาร์คเกอร์ ผู้ขับขี่หุ่นยนต์แมงมุม เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับไปยังโลกที่เขาอยู่ได้สำเร็จ…

เรื่องย่อ Spider-Man: Across the Spider-Verse (2023) “ไมล์” ก็กลับมาใช้ชีวิตนักเรียนนักศึกษา แต่เขาก็ยังไม่เลิกช่วยเหลือประชาชนจากวายร้ายคนใหม่ “The Spot” (ให้เสียงโดย เจสัน ชวาตซ์แมน) หรือ ดร.โจนาธาน โอห์น นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานให้กับ “คิงพิน” เขาใช้พลังเปิดประตูต่างมิติเพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทาง รวมทั้งก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ระหว่างที่ “ไมล์” กำลังหาทางจัดการกับวายร้ายรายนี้ ปรากฏว่า “เกว็น สเตซี่” ได้กลับมาหาเขาแต่ก็อยู่ได้ไม่นานนัก

เธอใช้อุปกรณ์การเคลื่อนย้ายมิติคู่ขนาน เพื่อทำภารกิจบางอย่าง ซึ่งก่อนจะเดินทางกลับ “ไมล์” ได้แอบติดตามเธอไปยังโลกอื่นด้วย จนกระทั่งพบกับ “มิเกล โอฮาร่า” หรือ Spider-Man 2099 ที่ได้บอกให้ “ไมล์” ยอมเสียสละคนในครอบครัวเพื่อให้โลกของเขาได้คงอยู่ต่อไป ซึ่ง “ไมล์” รับไม่ได้ เขาขัดขืนไม่ยอมทำตาม นั่นจึงทำให้ “มิเกล” สั่ง Spider-Man จากโลกอื่น ๆ ไล่จับกุมตัว “ไมล์” เพื่อขัดขวางไม่ให้เขากลับไปช่วยคนในครอบครัว เรื่องราวของพวกเขาจะจบลงอย่างไร ติดตามกันได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น.

จุดแข็ง งานโปรดักส์ชั่นทำออกมาละเอียดมาก สไตล์สีสันฉูดฉาดเร้าใจมากกว่าภาคแรก ทั้ง 2 มิติ 3 มิติ พร้อมจัดหนักจัดเต็มกับเสียงดนตรีประกอบที่ลงตัวสุด ๆ แถมยังแทรกเนื้อเรื่องของตัวละครสำคัญแบบสั้น ๆ ไว้มากมาย โดยเฉพาะ “เกว็น สเตซี่” หรือ “Spider-Gwen” ซึ่งในภาคนี้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ “เฮลีย์ สไตน์เฟลด์” นักแสดงชื่อดังจาก Bumblebee (2018) และ ซีรีส์ Hawkeye เป็นอะไรที่แจ่มสุด ๆ มีเสน่ห์มาก ๆ เธอให้เสียง “Spider-Gwen” แบบเหมาะเจาะ

ขณะที่ บทดราม่าของ “ไมล์ โมราเลส” (ให้เสียงโดย ชาเมค มัวร์) ยิ่งทำออกมาได้ดีเยี่ยม ความถาโถมหนักหน่วงจากภาคก่อน สานต่อความอึดอัดมาจนถึงภาคนี้ มีปมเรื่องที่ดูจะโดนใจกว่าเก่าด้วย โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “…หากเราต้องเสียสละคนที่เรารัก เพื่อช่วยเหลือคนทั้งโลก หรือทั้งพหุจักรวาล เราจะยอมเสียสละหรือไม่…”

จุดอ่อน ปัญหาเดิม ๆ คือมีมุมกล้องแบบเหวี่ยง โหนไปโหนมา ตัดกับภาพแสงสีฉูดฉาด มองมาก ๆ อาจเวียนหัวได้ นอกจากนี้ตัวหนังที่มีความยาวกว่า 140 นาที ผู้ชมต้องใช้สมาธิในการชมมากพอสมควร ยังดีที่หนังไม่เนือยหรือเฉื่อยชวนหลับ ที่แน่ ๆ เนื้อหาของหนังก็ยังไม่จบนะครับ… มีต่อ Part 2 โดยทางค่าย Sony Animation กำลังจะทำภาคที่ 3 ให้สมบูรณ์ โดยให้ชื่อว่า Spider-Man: Beyond The Spider-Verse กำหนดฉายประมาณเดือนเมษายน 2024 หรือหากมีข่าวดีก็น่าจะเร็วกว่านั้น…

5/5 ไม่ต้องหักอะไรแล้ว เป็นหนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงสำหรับผู้ชื่นชอบไอ้แมงมุง หรือแฟนหนังแนวอนิเมชั่นสวย ๆ ถือเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม เพลงก็เพราะ หลากหลายอารมณ์ ดราม่าหนักหน่วง มุมมองแง่คิดน่าสนใจ ฉากแอ๊คชั่นมันส์ ๆ ลุ้นไปกับการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 100 แถมยังมีเซอร์ไพรซ์ในฉากจบ

———————————————–

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน
ขอบคุณข้อมูล ภาพ จากเว็บไซต์ Youtube และ Sony Pictures Entertainment