เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงผลการประชุมมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2566 โดยยังไม่ได้ระบุวันที่เรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พร้อมมอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานองคมนตรี เมื่อมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ได้รับเลือกตั้งถึงร้อยละ 95 หรือ 475 คน แล้วให้นําร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป

นายอนุชา กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 83 บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎร จํานวน 500 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จํานวน 400 คน และมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ จํานวน 100 คน มาตรา 84 บัญญัติให้ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อมี ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งถึงร้อยละ 95 ของจํานวน ส.ส.ทั้งหมดแล้ว (จํานวน 475 คน) หากมีความจําเป็นจะต้องเรียกประชุมรัฐสภา ก็ให้ดําเนินการเรียกประชุมรัฐสภาได้ และมาตรา 85 วรรคสี่ บัญญัติให้ กกต.ประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว มีเหตุอันควรเชื่อว่า ผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจํานวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของเขตเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่ง กกต.ต้องตรวจสอบเบื้องต้นและประกาศผลการเลือกตั้งให้เสร็จโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่า 60 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง (ภายในวันที่ 13 ก.ค. 66) ประกอบกับมาตรา 121 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (ภายในวันที่ 27 ก.ค. 66) ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก

โดยมาตรา 122 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่ บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา ทรงเปิดและทรงปิดประชุม โดยพระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดําเนินมาทรงทํารัฐพิธี เปิดประชุมสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พระรัชทายาทซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นผู้แทนพระองค์ มาทํารัฐพิธีก็ได้