การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 48 พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่เพิ่งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ครบวาระ 4 ปี (ปี 44-48) ทำให้ “อีลีท-คอนเซอร์เวทีฟ” หรือกลุ่มคนซึ่งมีบทบาทสูง มีอิทธิพลทางอำนาจและความคิดต่อการกำหนดความเป็นไปของประเทศ ต่างพากันผวา! เนื่องจากพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส.เขต 310 ที่นั่ง จากทั้งหมด 400 ที่นั่ง และ ส.ส.บัญชีรายชื่อทั่วประเทศ 18.99 ล้านคะแนน อีก 67 ที่นั่ง จาก 100 ที่นั่ง ส่วนอันดับ 2 คือพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. 96 ที่นั่ง
การเลือกตั้งครั้งนั้นส่งผลให้ดร.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ สมัยที่ 2 และสร้างประวัติศาสตร์เป็นพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.มากที่สุด จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งในประเทศไทย ก่อนจะมีการรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณในเดือน ก.ย. 49
มาถึงการเลือกตั้งเดือน ก.ค. 54 แบ่งออกเป็น 375 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 ที่นั่ง ฝ่าย “เสรีนิยม” อย่างพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกวาดที่นั่ง ส.ส.แบ่งเขต 204 ที่นั่ง ส่วนอันดับ 2 คือ ประชาธิปัตย์ 115 ที่นั่ง ขณะที่คะแนนบัญชีรายชื่อ อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย 15,744,190 คะแนน (จากผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35,203,107 คน หรือคิดเป็น 75.03%) จึงได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 61 ที่นั่ง รองลงมา คือ ประชาธิปัตย์ 11,433,501 คะแนน และภูมิใจไทย 1,281,522 คะแนน
ส่วนการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 14 พ.ค. 66 ฝ่ายเสรีนิยมแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว คือ พรรคเพื่อไทยซึ่งถูกมองว่าเป็น “เสรีนิยม” ผสม “อนุรักษ์นิยม” อยู่นิด ๆ กับพรรคก้าวไกลที่เป็นเสรีนิยมจัดจ้าน เข้มข้นกว่า!
พรรคเพื่อไทยชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้อง ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทไว้ใช้จ่ายในรัศมี 4 กม. ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พักหนี้ทั้งต้น-ดอกเบี้ยให้เกษตรกร 3 ปี ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ปริญญาตรี 25,000 บาท ลดค่าไฟฟ้าทันที จีดีพีโตเฉลี่ย 5% เป็นต้น
ส่วนพรรคก้าวไกล เน้นนโยบายแก้ปัญหาของสังคมเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันแก้ไขมาตรา 112 เข้าสู่สภา-ยกเลิกเกณฑ์ทหาร-เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ-ยกเลิกตั๋วช้างระบบเส้นสาย-รัฐโปร่งใส-จับคนโกง-สวัสดิการเด็กเล็ก 1,200 บาท/เดือน-ผู้สูงวัย 3,000 บาท/เดือน-ลดค่าไฟ-หวยใบเสร็จ เป็นต้น
ผลการเลือกตั้ง แม้เสียงส่วนใหญ่จะเทให้พรรคก้าวไกลที่ชูนโยบายทางสังคมได้โดดเด่น ด้วยคะแนนบัญชีรายชื่อ 14.23 ล้านคะแนน พรรคเพื่อไทยได้ 10.86 ล้านคะแนน แต่เมื่อรวมกัน 2 พรรค กว่า 25 ล้านคะแนน จึงถือว่าเป็นชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของฝ่ายเสรีนิยมต่ออนุรักษ์นิยม (คอนเซอร์เวทีฟ)
โดยอนุรักษ์นิยม ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์-พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ-ภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา ได้คะแนนบัญชีรายชื่อรวมกันประมาณ 7.40 ล้านคะแนน
จาก 18.99 ล้านคะแนน เมื่อปี 48 ทำให้ “อีลีท–อนุรักษนิยม” ต้องเบรกเกม! ด้วยการทำรัฐประหาร 2 ครั้งในปี 49 และปี 57
แต่ปี 66 ฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตย กลับโตพรวดพราดขึ้นมา 25 ล้านคะแนน แถมยังไปโตในขั้วที่เข้มข้นจัดจ้านมากกว่าเก่า! แต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังมี ส.ว.ลากตั้ง 250 คน เป็นปราการด่านสำคัญขวางทางอยู่ และพรรคก้าวไกลคงจะขึงพืด ส.ว.ลากตั้งให้ตกเป็น “จำเลย” ของสังคมไทย-สังคมโลก ไปเรื่อย ๆ
เนื่องจาก ส.ว.ลากตั้งชุดนี้! เป็น “โซ่ตรวน” ล่ามประเทศไทยมา 4 ปีแล้ว!!
———————–
พยัคฆ์น้อย