นายมาร์ติน โซเรนเซน ซีอีโอ เวิร์คเมท ประเทศไทย เปิดเผยว่า เวิร์คเมท ได้พัฒนาแพลตฟอร์มจ้างงานและ การจัดการพนักงานกลุ่มปฏิบัติการ ขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีที่ช่วยแมตชิ่งงานด้วยการเชื่อมต่อธุรกิจ กับกลุ่มแรงงาน ที่พร้อมทำงาน และผ่านการคัดกรองอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้องค์กรต่างๆ สามารถแก้ปัญหา ความต้องการ แรงงานได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่สามารถลดระยะเวลาและ ขั้นตอนในการ จ้างงานได้ดีกว่าจากการจ้างงาน ในรูปแบบเดิมได้ ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแรงงาน ที่ใช้ระบบเข้างานแบบเป็นกะ  ทำให้ความต้องการแรงงานมีความผันผวน ซึ่งองค์กรธุรกิจต้องรับมือกับข้อจำกัดมากมาย ในการดำเนินงานช่วงโควิด-19

“ก่อนเกิดการแพร่ระบาด ธุรกิจหลายแห่งประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นทุนเดิม ขณะเดียวกัน จากผลสำรวจของ แมนเพาว์เวอร์ กรุ๊ป พบว่า ภาคการขนส่งและโลจิสติกส์มีอัตราการเติบโตสูงสุด อยู่ที่ 4.83% ในปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโตขึ้นในช่วงการแพร่ระบาด ทำให้ไทยมีความ ความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรม การกระจายสินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถหาแรงงานมาทดแทนได้ด้วยการจ้างงาน ผู้ที่ตกงานจากอุตสาหกรรม ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด เช่น อุตสาหกรรรมอาหารและเครื่องดื่ม และการบริการ ฯลฯ”

มาร์ติน โซเรนเซน

นายมาร์ติน กล่าวต่อว่า นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เวิร์คเมทได้ช่วยในการหางานที่เหมาะสม ให้กับแรงงานไทยไปแล้วกว่า 12,000 คน คิดเป็นจำนวนวันทำงานเกือบ 450,000 วัน ซึ่งกลุ่มแรงงานนอกระบบ หรือแรงงานอิสระผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงได้มีโอกาสใช้บริการเวิร์คเมทเพื่อช่วยในการ หางานที่ยืดหยุ่นต่อ สถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเวิร์คเมทให้บริการในการหางานสำหรับพนักงานโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

 “ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยจัดการดาต้าต่างๆ ของแรงงานได้อย่างถูกต้องแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่จำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานเป็นจำนวนมากซึ่งกระบวนการและดาต้าต่างๆ ค่อนข้างไม่สมบูรณ์และค่อนข้างกระจัดกระจาย โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิดทำให้หลายบริษัท เล็งเห็นถึงความสำคัญในการใช้แพลตฟอร์มเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้มากขึ้น” นายมาร์ติน กล่าว