หากพูดถึงนางเอกเบอร์ท็อปของช่อง 7HD ต้องมีชื่อของ มุกดา นรินทร์รักษ์ ติดอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน และล่าสุดเธอเพิ่งฝากผลงานในละคร  “เภตรานฤมิต” ที่ฟาดเรตติ้งนิวไฮและได้รับการพูดถึงอย่างต่อเนื่องจนถึงลาจอ ซึ่งต้องบอกว่าตลอดเส้นทางในวงการนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมุกดา ทั้งเรื่องงานและความรักที่เธอถูกจับจ้องและคาดหวังมาโดยตลอด แต่ 9 ปีในวงการมุกดาได้ตกตะกอนความคิด เปิดรับคำติชม โดยเลือกมองข้ามความอคติ เพื่อหาบาลานซ์ให้ชีวิตมีความสุข ล่าสุด “ดาวต่างมุม” มีโอกาสได้พูดคุยกับสาวสวยคนนี้ในหลากหลายเรื่องราว ทั้งมุมมองในการทำงาน รวมถึงอัปเดตผลงานใหม่ ๆ มาฝากแฟน ๆ ที่สำคัญไม่พลาดเปิดใจเรื่องความรักที่เจ้าตัวยอมรับมีคนคุยแล้ว รวมไปถึงมิตรภาพกับคู่จิ้น เข้ม – หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล ที่มุกดาย้ำชัดเจนว่า “มุกเข้ม” ไม่มีวันตาย!

“เภตรานฤมิต” เดินทางถึงตอนสุดท้ายไปแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง?

“รู้สึกใจหายมากค่ะ มันเร็วมาก ๆ มุกอยากขอบคุณแฟนละครมากที่ติดตามกันมาตั้งแต่ตอนแรก จนถึงตอนนี้บอกได้เลยว่าตอนจบนั้นเข้มข้นมากค่ะ แต่ละตัวละครก็จะมีจุดจบที่ไม่เหมือนกัน เส้นเรื่องของทุกตัวละครนั้นสำคัญหมดเลยค่ะ สำหรับคาแรกเตอร์ ‘เขมิอร’ ไม่ค่อยต่างจากที่มุกเคยเล่นเท่าไหร่  เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ เป็นสาวมั่น สาวเก่ง มั่นใจ ร่าเริงสดใส เลยไม่มีอะไรที่ต้องกังวล  แต่จะมีพาร์ตในอดีต ที่ต้องทำการบ้านเพิ่มในเรื่องของภาษา ความเข้าใจ ในการพูดบทต่อกัน จะมีความยากในพาร์ตนี้ ถ้าพาร์ตปัจจุบัน ก็จะชิล เป็นวัยรุ่นปกติ”

อย่างก่อนหน้านี้มีภาพยนตร์และละครที่นางเอกข้ามภพ ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย ทั้ง “ทวิภพ” รวมถึง “บุพเพสันนิวาส” มาแสดงเรื่องนี้ กลัวการเปรียบเทียบกันมั้ย ?

“ตัวมุกไม่ได้มองถึงมุมนั้นค่ะ เพราะมุกคิดว่าละครพีเรียดก็มีหลายแบบ ในเรื่อง ‘เภตรานฤมิต’ จะสอดแทรกความรักค่อนข้างเยอะ มันจะมีความเข้มข้นของความรัก มีเรื่องหึงหวงขึ้นมานำ เลยไม่ได้รู้สึกว่าจะไปเหมือน เพราะเราจะมาในเส้นของดราม่าแทบทั้งหมดเลย”

ได้มาร่วมงานกับ “ไมค์  – ภัทรเดช สงวนความดี”  คู่จิ้นแจ้งเกิดเลย  รู้สึกยังไงบ้างที่กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง?

“เอาจริง ๆ ก็ดีใจนะคะที่ได้กลับมาร่วมงานกับพี่ไมค์ เพราะอย่างที่มุกบอกไปเสมอเลยว่า เวลาที่เราร่วมงานกับใคร แล้วเขาเป็นคนที่ตั้งใจในการทำงาน ยิ่งเป็นคนที่เล่นดีด้วย เราก็แฮปปี้แล้ว ขึ้นชื่อว่าเล่นกับพี่ไมค์อีกแล้ว เราก็สบาย ดีลง่าย ไม่ต้องพยายามเข้าใจอะไรกันเยอะ เพราะเราเข้าใจกันหมดแล้วค่ะ มาร่วมงานกันครั้งนี้ไม่ต้องปรับตัวเลย  มันกลายเป็นว่าตัวมุกในเรื่องนี้ มันเข้าหาพี่ไมค์มากกว่าอีก จะเป็นอีกมุมนึงไปเลย เป็น ‘เขมิอร’  สายห้าว เข้าหาพระเอก”

ตอนนี้ “ไมค์” มีตัวจริงชัดเจน อย่าง “ปุ๊กลุก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล” ตอนถ่ายทำ เราแอบมีเกรงใจเวลาเข้าฉากกันมั้ย?

“มุกไม่เคยคุยเรื่องพวกนี้กับพี่ไมค์เลยค่ะ ทุกคนรู้อยู่แล้วเวลาที่เราเข้าซีนที่จำเป็นต้องเลิฟซีนหรืออะไรก็ตาม เราให้เกียรติกันเสมอ เราก็จะพูดว่า ‘ขอโทษนะคะพี่ไมค์’ พี่ไมค์ก็จะขอโทษหนู เวลาที่เราโดนหอมแก้มหรือจูบอะไรก็ตาม เราก็พยายามเล่นซีนนี้ให้จบในซีนเดียว เราไม่จำเป็นต้องพูดว่า ‘หนูขอจูบพี่นะ’ ไม่มีแบบนั้น เราแค่รู้กันว่าเราทำสิ่งนี้ให้เสร็จ ให้เร็วที่สุด ก็จบกันไป ขอโทษขอโพยแค่นั้น เรารู้อยู่แล้วว่านี่คืองาน ก็คืองาน”

เรื่องกระแสคู่จิ้นล่ะ ตอนนี้ “มุกดา” โด่งดังเป็นคู่จิ้น กับ “เข้ม”  พอแสดงเรื่องนี้ กังวลว่าคนไม่อินเท่าเดิมรึเปล่า?

“อย่างที่มุกบอกเสมอ มุกคิดว่าไม่ว่ามันจะมากหรือน้อยลง ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว แต่มุกอยากให้ทุกคนโฟกัสที่งานมากกว่า ให้มีความสุขกับการดูผลงานที่เราเล่นออกมา แค่นั้นค่ะที่มุกโฟกัส ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเท่าเดิม มากขึ้น หรือน้อยลง ถามว่าอยากให้คนจดจำการแสดง ‘ไมค์มุก’ ครั้งนี้ยังไง คืออยากให้ทุกคนโฟกัสว่านี่คือความรักอีกแบบนึง ความรักรูปแบบใหม่ เรามาเจอกันในเรื่องใหม่ก็อยากให้ทุกคนเปิดรับอะไรใหม่ ๆ ความรู้สึกที่เราจะรักกันในอีกแบบนึง มันก็จะเป็นความน่ารักอีกมู้ดนึงค่ะ”

อัปเดตเรื่องอื่น ๆ หน่อย?

“ปีนี้มี ‘ไฟน้ำค้าง’ กำลังถ่ายทำอยู่กับ ยูโร ยศวรรธน์  เรื่องนี้เป็น ‘พลับพลา’ คาแรกเตอร์ใหม่สุดตั้งแต่ที่หนูเล่นมา จะมีความโตขึ้น ดูแลครอบครัว เป็นเสาหลักหาเงินให้น้องและย่า ทุกอย่างคือเพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง  เป็นคาแรกเตอร์ที่สู้ชีวิต ทำหลายอย่างซึ่งตัวมุกไม่เคยทำ เช่น จะต้องเต้น หรือยั่วยวนบ้าง ก็ฟีลใหม่ ๆ ค่ะ ด้วยความที่เขาสู้ชีวิตเลยทำงานหลายแบบมาก ๆ มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่ยอมให้ใครมาดูถูก  และมีภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง คือ ‘สลิธ โปรเจกต์ ล่า’ จะเป็นไซไฟและแอ็กชัน เล่นกับพี่ลุค อิชิคาว่า และมีงานเพลงอีกหนึ่งเพลง ที่กำลังจะทำกับพี่เอ้ บอทแคช กำลังอยู่ในกระบวนการ พี่เอ้ช่วยแต่งเพลงให้ในโปรเจกต์ของพี่เอ้ ตอนฟังก็รู้สึกว่าอยากร้อง ต้องบอกก่อนว่ามุกเป็นคนร้องเพลงไม่เก่ง (ยิ้ม) ไม่ได้มั่นใจกับการร้องเพลงกับตัวเองมาก  แต่พอมีโอกาสที่พี่เอ้แต่งเพลงให้ เรารู้สึกว่าพี่เอ้เป็นคนเก่ง เราอยากลองร่วมงานกับเขา เป็นเพลงวัยรุ่น รัก ๆ แฮปปี้ สนุกสนาน”

อยู่ในวงการมานานเกือบ 9 ปีแล้ว ประกอบกับพอได้ลองการแสดงหลากหลาย ณ วันนี้ “มุกดา” เลือกรับงานยังไง?

“จริง ๆ เรารับงานจากการอ่านบทและดูคาแรกเตอร์ต่าง ๆ ที่รู้สึกว่าเราอยากเล่นและตัวเราจะเล่นได้ มุกเป็นคนที่ถ้าวันนี้ทำได้ประมาณนี้ วันนึงเราก็อยากได้บทที่โตขึ้น ถ้ามีโอกาสที่บทบาทต่าง ๆ ทำให้เราได้โชว์อีกด้านหรืออีกคาแรกเตอร์ ที่ทำให้คนดูมู้ดในการแสดงมากขึ้น มุกก็อยากลองค่ะ ถ้าบทมันได้ มุกก็จะพยายามรับอะไรที่มันแปลกใหม่ให้กับตัวเอง ทุกคนจะได้เห็นหลาย ๆ มุม ถ้ามีงานอะไรก็ตามเข้ามา ถ้ามันน่าสนใจ มุกก็พร้อมที่จะทำ”

แต่ละงานที่เข้ามา ต้องเป็นนางเอกมั้ย ให้คุณค่าหรือความสำคัญกับคำว่า “นางเอก” ยังไง?

“คำว่านางเอกก็สำคัญนะ แต่มุกมองว่าทุกคาแรกเตอร์สามารถโดดเด่นได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคาแรกเตอร์ไหนก็ตาม ถ้าคุณให้ใจกับมัน และเต็มที่กับมัน แค่นั้นก็พอค่ะ วันนี้จะให้มุกเล่นร้ายก็เล่นได้ เล่นเป็นคนดี มุกก็เล่นได้ พร้อมจะเล่นทุกคาแรกเตอร์  การที่เราเล่นหลากหลายคาแรกเตอร์มันน่าสนใจมาก ๆ สำหรับคนดู เพราะคนดูจะได้เห็นเราหลาย ๆ แบบค่ะ”

หลายคนมองว่าตอนนี้ “มุกดา” ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ท็อปของช่อง 7  กดดันมั้ย ที่ผลงานแต่ละครั้งจะมาพร้อมความคาดหวัง?

“ทุกอย่างที่ได้รับมากดดันหมด เอาจริง ๆ เราก็ไม่ใช่คนที่มั่นใจในตัวเองขนาดนั้น  หนูไม่เคยคิดว่าทุกอย่างในชีวิตหนูทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ทุกอย่างผิดพลาดได้ 80-90 เปอร์เซ็นต์ คือแค่ขอให้ตัวเองทำออกมาให้ดีที่สุดก็พอค่ะ ทุกครั้งต่อให้วันนี้มุกได้รับบทใน ‘เภตรานฤมิต’  แม้จะเป็นคาแรกเตอร์ที่เราเคยเล่น เราก็กลัวค่ะ สมมุติฉากนึงเป็นฉากที่เราไม่เคยเล่นเลย ทุกครั้งที่เข้าฟีลลิ่งนี้ มันน่ากลัวว่าเราจะเล่นซีนนี้ออกมายังไงดี มันจะมีความคิดแบบนี้เสมอ เลยทำให้เรากดดัน แต่มุกเป็นคนที่พูดกับตัวเองเสมอว่าแค่ทำให้ดีที่สุดพอ มันจะออกมาเป็นยังไง จะมีฟีดแบ็กเป็นยังไงก็ช่างมัน ในเมื่อวันนี้เราทำได้แบบนี้ เราจะเต็มที่ในแบบที่เราทำได้ แล้วเราจะจบ  ไม่เก็บมาคิด ซึ่งก็นานค่ะ กว่าจะคิดได้แบบนี้ มันด้วยประสบการณ์หลายอย่าง เราก็เริ่มจากศูนย์ ค่อยเป็นค่อยไป เลยคิดว่าชีวิตถ้าเราจะเครียดขนาดนั้น เราคงบ้าตายไปแล้ว คงกดดันกับตัวเองมากเกินไปและคงไม่มีความสุขในชีวิต หนูเลยรู้สึกว่าวันนี้มีคนเก่งรอบตัวเราก็เยอะ เราทำได้แค่พัฒนาตัวเอง จะไปนั่งแข่งกับคนอื่น ก็ไม่ใช่ เรามีแต่ต้องแข่งกับตัวเอง ทำแค่ตัวเองให้ดีที่สุดและมีความสุขที่สุดก็พอ หนูมองว่าถ้าวันนี้เราพยายามที่จะร้อยเปอร์เซ็นต์เราคงเหนื่อย ก็รู้สึกว่าแค่เราเต็มที่และตั้งใจกับมัน อันนี้มันคือความสุขและเป็นความตั้งใจที่เราทำได้แน่ ๆ  ”

เป็นคนดังไม่พ้นการโดนจับตามองและคาดหวังในเรื่องต่าง ๆ พอมา ณ วันนี้ รับมือกับดราม่า หรือเสียงวิจารณ์ยังไง?

“มุกโฟกัสคนที่เข้าใจในตัวเราดีกว่า เราไม่สามารถที่จะแคร์ทุกคนได้ เราไม่รู้อยู่แล้วว่าแต่ละคนคิดกับเรายังไง วันนี้เราขอโฟกัสคนที่รักเราและชื่นชมในผลงานเรา ทุกคนอยากติได้หมด แต่ขอแค่ให้มีขอบเขตก็พอค่ะ”

เคยมีคำวิจารณ์ ที่ทำให้เรารู้สึกนอยด์ ท้อ จนไม่อยากไปต่อในวงการบ้างมั้ย เอาชนะมันมาได้ยังไง?

“มีอยู่แล้วค่ะ หนูคิดว่ามีทุกคน ถามว่าเอาชนะมันมาได้ยังไง ก็ทำความเข้าใจค่ะ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ ถามตัวเองว่าทำไมคนถึงคิดแบบนี้ แต่เราไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ เราจะตอบกับตัวเองแบบนี้ เราก็พยายามตกตะกอนกับตัวเองว่า เรามีความสุขมั้ยกับการที่เรามานั่งเครียดกับทุกสิ่งในชีวิต เพราะเรามานั่งคิดว่าเราไม่มีความสุข เราก็เลือกโฟกัส ไม่ใช่เราไม่รับฟัง เรารับได้หมดนะ จะติจะอะไร แต่แค่อย่าล้ำเส้นกัน แค่นั้นเอง ถือว่าเป็นอะไรที่ดีที่สุดสำหรับตัวมุก สำหรับคำวิจารณ์ที่ถูกต้องมุกเก็บมารับฟัง แต่คำที่เกิดจากอคติ เราก็แค่ผ่านมันไป ไม่เอาใจไปโฟกัสเหมือนสมัยก่อน ที่เรารู้สึกว่าคอมเมนต์ทุกอย่างมันเอฟเฟกต์กับเราไปหมดเลย ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว ไม่ดีกับตัวเราที่ต้องมานั่งโฟกัสในเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกแย่ตลอดเวลา เราก็ปล่อยมันไป ถ้าเราให้น้ำหนักกับเรื่องนี้ แล้วตัวเรารู้สึกแย่มาก ๆ เราก็แค่ปล่อยมันไป ตัดไปทีละข้อ ๆ เริ่มหาบาลานซ์ให้ตัวเองได้ว่าวันนี้เรามีความสุขที่เราคิดแบบนี้ค่ะ”

มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง และอยากประสบความสำเร็จในวงการยังไง ?

“ถือว่ามาไกลเกินฝันค่ะ แต่ถามว่าประสบความสำเร็จขนาดนั้นมั้ย มุกคิดว่ายังค่ะ เราคงไปได้อีก ได้ลองหลายบทบาทได้อีก และสามารถพัฒนาตัวเองให้โตขึ้นกว่านี้ได้อีกในการทำงาน ซึ่งมุกมองว่าคำว่าประสบความสำเร็จของนักแสดง สำหรับวันนี้มุกยังไม่มีคำตอบนั้นให้ตัวเอง อยากเป็นนักแสดงที่ถ้าแก่แล้ว (หัวเราะ) ก็ยังรับทุกบทบาทได้ และเป็นที่ทุกคนนึกถึงว่าเรายังอยู่ตรงนี้ เราอาจโตขึ้น  อย่างแม่ตุ๊ก ดวงตา ทุกคนพูดถึงเขาในแง่ดี แล้วเห็นถึงศักยภาพของเราในการทำงาน เป็นอะไรในเชิงนั้นค่ะ มุกไม่สามารถอธิบายได้ว่าปลายทางคือจุดไหน มุกแค่อยากอยู่ตรงนี้ไปนาน ๆ ในแบบที่มั่นคงและไปในทิศทางที่ดีค่ะ”

มองว่าวงการบันเทิงให้อะไรกับ “มุกดา”?

“ก็ให้ทุกอย่างค่ะ เราเริ่มทำงานเลยจริง ๆ ก็กับวงการบันเทิง ทำให้เรามีทั้งชีวิต หน้าที่การงงาน ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคตก็เป็นสิ่งแรกที่ปูทางให้เรามีวันนี้ ก็เป็นสิ่งที่เรารักค่ะ”

อัปเดตความรักบ้าง ณ วันนี้เป็นยังไง?

“ก็มีคนคุยเหมือนอย่างที่บอกเสมอมา มุกอาจมีไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวของตัวเองสูง ชอบความเป็นส่วนตัวมาก ๆ เลยเป็นคนแบบนี้แหละ ชอบคุยและอยู่ในจุดที่สบายใจ และเราก็ไม่ได้หวือหวา และไม่อยากให้ใครมาโฟกัสเรามาก ซึ่งคนที่คุยก็ยังเป็นคนเดิมค่ะ มุกสบายใจที่เรามีไลฟ์สไตล์แบบนี้ ตัวมุกเองไม่ชอบให้ใครมาจับจ้อง หรือโฟกัสว่าเป็นใคร ตั้งแต่เด็กเลย ต่อให้คุยกับใคร ก็แทบไม่มีใครรู้เลยค่ะ”

อีกหนึ่งมิตรภาพดี ๆ คือกับคู่จิ้น “เข้ม” เป็นยังไงบ้าง ล่าสุด “เข้ม” ยกให้เราเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว?

“หนูว่ามันเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ ค่ะ คือคำว่า ‘มุกเข้ม’ ชัดเจนว่ามันไม่ตายอยู่แล้ว ไม่ใช่ในเชิงนั้นนะ (ยิ้ม) มันเป็นมิตรภาพที่ไม่มีวันขาด คำว่าเพื่อนจะทะเลาะกันให้ตายยังไง ผิดใจกันหรืออะไรก็ตาม เราก็สามารถกลับมาคุยกันได้เสมอ แค่ปรับความเข้าใจ มุกรู้สึกว่าพอเราจะร่วมงานกัน ทำอะไรหรือจะไปไหน มันกลายเป็นชิล สบาย ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกลัวว่าคนจะมองยังไง เราเป็นตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนที่เราคุยก็เข้าใจอยู่แล้ว เพราะเราก็ต้องเดินชีวิตของเรา เราก็มีเส้นของเราว่าอะไรที่ทำได้หรือไม่ได้ค่ะ”

จากวันแรกจนถึงวันนี้ ประทับใจอะไรในตัว “เข้ม” มากที่สุด?

“เขาเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลาย ตั้งแต่วันที่เจอเข้มวันแรก จนถึงวันนี้เขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเขาโตขึ้นแล้ว เขามีชื่อเสียงมากขึ้น ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป”

ท้ายสุดนิยาม “ความรัก” สำหรับมุก ณ วันนี้ คืออะไร?

“ความรักสำหรับมุกก็คือความเข้าใจค่ะ แค่รู้สึกว่าถ้าวันนึงเรารักใคร ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เราแค่พยายามเข้าใจเขาก็พอ รู้ว่าเขาจะเป็นยังไง ไม่ต้องตัดสินว่าเขาต้องเป็นแบบนี้นะ เราแค่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น เขารับได้ในสิ่งที่เราเป็น แค่นั้นก็พอค่ะ”

เชื่อว่าบทสัมภาษณ์นี้ จะทำให้แฟนๆ ได้เข้าใจในตัวตนของ “มุกดา” มากยิ่งขึ้น และมองเห็นว่าเธอนั้นตั้งใจในเรื่องงานมากแค่ไหน ในขณะเดียวกันยังทำให้หลายคนได้สะท้อนว่า สุดท้ายแล้วการใช้ชีวิตบนทุกเสียงวิจารณ์  อาจไม่ได้พาให้มีความสุขได้เท่ากับการมองข้ามคำพูดอคติไปบ้าง เพื่อหาบาลานซ์ให้ตัวเองได้มีความสุขในแบบที่ควรจะเป็น.

วันวิสาข์ ดอกเงิน : เรื่อง