“ลุงป้อม” เปรียบเทียบถึงความเป็นนักการเมืองกับทหารอาชีพว่า เป็นนักการเมืองเครียดมากกว่า ไม่เหมือนกับสมัยเป็น ผบ.ทบ. เพราะตรงนั้นเป็นการให้นโยบายและสั่งการลงไป แล้วทุกคนก็ลงไปปฏิบัติตาม ในขณะที่มิติการเมือง นักการเมืองมีความคิดของตัวเองในการกระทำต่าง ๆ ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผมก็ได้ปรับตัว โดยช่วง 3 ปีแรก เป็น รมว.กลาโหม จากนั้น 6 ปีหลัง เป็น รมว.กลาโหม และรองนายกฯ

@ แสดงว่าตอนนี้เป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว

ผมตกกระไดพลอยโจน ถามว่าชอบการเมืองหรือไม่ ผมไม่ชอบหรอกครับ ผมเข้ามาการเมืองแบบตกกระไดพลอยโจน เพราะลูกพรรคให้ผมไปที่โน้นที่นี่ผมก็ไป และก็มีคนมาบอกว่า ถ้าผมไม่เข้าพรรคจะโดนยุบพรรค ก็ต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรค อยู่มาเรื่อย ๆ ก็มาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค มันวุ่นวาย ก็จับผมมาเป็นหัวหน้าพรรค

@ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง 3 ป. เป็นอย่างไร

ผมสนิทกันมานาน ส่วนเรื่องทางการเมืองก็แล้วแต่คนจะคิด เขาคิดอย่างนั้น ผมคิดอย่างนี้ก็ว่ากันไป แยกกันไปทำ ไม่มีอะไร แต่ความเป็นพี่เป็นน้องเหมือนเดิม เขาจะคิดอย่างไร เราไปบังคับไม่ได้

@ ยังห่วง “น้องตู่” เหมือนเดิมใช่หรือไม่

ไม่ห่วงหรอก แก่กันหมดแล้ว จะไปห่วงอะไรเขา ผมก็แก่ เขาก็แก่ ส่วน “บิ๊กป๊อก” (พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) ก็ไปของเขา โธ่! อายุขนาดนี้แล้ว ทุกคนผ่านการเป็น ผบ.ทบ. กันหมดกันแล้ว ก็ว่ากันไป ต่างคนต่างดูแลตัวเองได้ ทุกคนมีลูกมีเต้ากันหมดแล้ว

@ เลือกตั้งรอบนี้พรรคพลังประชารัฐชูอะไรเป็นจุดขาย

พรรคพลังประชารัฐเราต้องการดูแลคนกลุ่มเปราะบาง ให้มีความกินดีอยู่ดีเพิ่มมากขึ้น ดูแลเรื่องน้ำเรื่องที่ดินเป็นพิเศษ ทำให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน นอกจากนี้เราจะช่วยในด้านสวัสดิการของประชาชน อย่างเรื่องผู้สูงอายุ 60 ปี 70 ปี 80 ปี เราก็จะให้เงิน 3 พัน 4 พัน 5 พันบาท รวมถึงให้ 700 บาท กับผู้มีรายได้น้อยต่อเดือน ส่วนเรื่องการลดราคาน้ำมัน เราก็จะลดราคาน้ำมันทันที ถ้าผมได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะลดลงราคาเบนซินลง 18 บาท ดีเซลจะลดลง 6.30 บาท และลดค่าแก๊สจาก 435 บาท เหลือ 250 บาท ค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือยูนิตละ 2.50 บาท สิ่งเหล่านี้ถ้าผมเป็นนายกฯ สามารถทำได้ทันที เพราะทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ เขาคิดกันหมดแล้ว ส่วนนโยบายกัญชา ไม่เกี่ยวกับเรา เราไม่เอาด้วย

@ โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ประเมินว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส. เท่าไหร่

ไม่น่าจะถึง 100 เสียง เหมือนกับการเลือกตั้งในปี 2562 เพราะรอบนี้ “ลุงตู่” แบ่งไปด้วย พรรคพลังประชารัฐคงเหลือประมาณ 70 บวก รวมทั้ง 2 ระบบแล้ว

@ หลังปิดหีบการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. นี้ ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้คะแนนนำ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีสูตรในการจับขั้วรัฐบาลอย่างไร

รอไว้ไปคิดคำตอบหลังเลือกตั้งเสร็จจะดีกว่า อย่าเพิ่งไปคิดว่าเราจะจับกับคนนั้นคนนี้ ตรงนี้แล้วแต่ใครจะได้ ส.ส. มากหรือน้อย แต่ผมสามารถทำงานได้กับทุกฝ่าย

@ มองสูตรการจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร

ต้องให้พรรคที่ได้ ส.ส. มาเป็นอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาล ถ้าตั้งได้ก็จบ ถ้าไม่ได้ก็ให้พรรคอันดับ 2 ตั้ง แต่ถ้ายังตั้งไม่ได้ พรรคอันดับที่ 3 ก็มาจัดตั้งรัฐบาล ไล่มาแบบนี้ อันไหนที่รวมกันแล้วได้เกิน 251 เสียง ตรงนั้นล่ะครับ ที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล

@ ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลประกาศไม่จับมือกับ พปชร. ไม่โกรธใช่หรือไม่

ผมจะไปโกรธอะไรเขา เขาไม่จับ เราก็ไม่จับ แต่ผมสามารถทำงานได้กับทุกฝ่าย เพราะผมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เป็นนโยบายของพรรคเลย ในเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้ง ก้าวข้ามความยากจน

@ กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร ประกาศจะกลับมาเลี้ยงหลาน ถ้ากลับมาจริง สามารถคุยกันได้หรือไม่

ไม่ได้คุย ผมไม่คุย ถ้าเขาจะกลับมา ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผมไม่ได้โกรธกัน เป็นคนไทยด้วยกัน

@ หาก พล.อ.ประวิตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องปรับบุคลิกพูดมากขึ้นหรือไม่

คงไม่พูดมากขึ้น แต่จะทำงานหนักขึ้น ทำงานให้มากขึ้น

@ ถ้าได้คะแนนมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยความเป็นน้อง หากมาบอกว่าผมขอเป็นนายกฯ ก่อน 2 ปี จะตอบว่าอย่างไร

ถ้าผมได้เสียงข้างมาก ผมก็ต้องจัดตั้งรัฐบาล เพราะมันเป็นเรื่องของผม ไม่ใช่เรื่องของ ”ตู่” แล้ว แต่ถ้าเขาได้มากกว่า ก็ไปจัดตั้งรัฐบาลไป ถ้าเขาได้น้อยกว่า ก็ต้องแล้วแต่คนที่ได้เสียงข้างมาก

@ ในกติการอบนี้ ยังมีเสียง 250 ส.ว. มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี มองว่า เสียง ส.ว. ยังมีความจำเป็นหรือไม่

250 ส.ว. เขาต้องโหวตอยู่แล้ว เพราะการโหวตเลือกนายกฯ ต้องใช้เสียง ส.ส. กับ ส.ว. รวมได้ 376 เสียง เพราะฉะนั้นคนที่ได้เสียง ส.ส. รวมกันได้ 251 เสียงขึ้นไป ก็ต้องใช้เสียง ส.ว. อีก 150 กว่าเสียง ถึงจะมาเป็นนายกฯ ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องแล้วแต่ ส.ว. เขา ส่วนที่มีการเรียกร้องให้ ส.ว. ปิดสวิตช์ตัวเองนั้น ก็แล้วแต่กฎเกณฑ์ รัฐธรรมนูญว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น

@ ล่าสุดมีการพูดถึงเทคนิคประจำตัว “เร็ว ช้า หนัก เบา” หมายความว่าอย่างไร

เร็วคือ ผมคิดเร็ว ทำเร็ว สั่งการเร็ว มีความคิดความอ่านที่เร็ว แต่เรื่องช้า ผมเดินช้า เพราะขาผมไม่ค่อยดี หนักคือความหนักแน่นของตัวผมเอง ในเรื่องหูหนัก รวมถึงความหนักแน่นในการทำงาน ผมมีความหนักแน่น ส่วนคำว่าเบา หมายถึงตัวเบา เพราะผมไม่ต้องไปหารายได้อะไรให้ใคร เพราะผมมีตัวคนเดียว ไม่ต้องหารายได้มาเก็บ แล้วเลี้ยงใครต่อใคร

@ เดือนสิงหาคม อายุจะ 78 ย่าง 79 ปี มีความคิดที่จะวางมือทางการเมืองหรือไม่

คิดอยู่แล้ว เพราะผมไม่ได้เข้ามาการเมืองเพราะอยากมา แต่มาเพราะตกกระไดพลอยโจน ถ้าสมมุติผมไม่ได้เป็นอะไร ผมก็พอแล้ว.