นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 32) “คลายล็อกดาวน์” ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.64 นั้น ส่งผลให้มีประชาชนออกมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น และตามแนวทางที่ ศปก.ศบค. กำหนดให้จัดบริการขนส่งสาธารณะที่เพียงพอต่อความจำเป็นและตามเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางของประชาชน กระทรวงคมนาคมจึงประชุมร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพื่อหารือรับฟังสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นต่อการให้บริการประชาชนในวันแรกของการคลายล็อกดาวน์ เมื่อวันที่ 1 ก.ย.64 เพิ่มมาตรการการดูแลการเดินทางประชาชนตามนโยบายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม
โดยได้สั่งการให้ ผอ.เขตเดินรถทุกเขต สอดส่อง ตรวจสอบ และ สำรวจ สภาพการเดินทางในช่วงเร่งด่วน ห้ามให้มีประชาชนตกค้างการเดินทาง หากพบว่ามีปริมาณการเดินทางมาก ให้เตรียมรถไว้ในจุดใกล้เคียงเพื่อเสริมรถได้ในทันที และมอบหมายให้ สายตรวจ ขสมก. ส่งภาพทุกพื้นที่ ตั้งแต่เวลา 18.00-20.00 น. ร่วมกับการใช้ภาพจากกล้อง CCTV กำกับการจัดการเดินรถ เพิ่มความถี่การให้บริการ จากเดิม 18,000 เที่ยว/วัน เป็น 22,000 เที่ยว/วัน และเพิ่มความถี่ การเดินรถในช่วงเวลาเร่งด่วน เพื่อลดความแออัดของผู้โดยสาร และให้เพิ่มเที่ยวรถจาก 18,000 เที่ยว เป็น 20,000 เที่ยว ให้เพิ่มอีกร้อยละ 10 เป็นอย่างน้อย หรือประมาณ 22,000 เที่ยว โดยให้เพิ่มขึ้นได้อีกหากมีปริมาณความต้องการเดินทางของประชาชน
ด้านนางพนิดา ทองสุข รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร รักษาการแทน ผอ. ขสมก. กล่าวว่า ได้ปรับแผนการเดินรถ เพื่อแก้ไขปัญหาผู้โดยสารตกค้างในเส้นทางช่วงเวลา 20.00 น. ดังนี้ 1.ขยายเวลาปล่อยรถโดยสาร (รถเมล์) คันสุดท้าย ออกจากท่าปลายทาง จากเดิม เวลา 20.00 น. เป็นเวลา 21.00 น. พร้อมปรับเพิ่มความถี่ ช่วงการปล่อยรถ 3 คันสุดท้ายให้มีระยะห่างกัน 5-10 นาที ซึ่งรถเมล์ 3 คันสุดท้าย จะติดป้ายข้อความบ่งชี้บริเวณหน้ารถเมล์ดังนี้ เหลือรถ 2 คันสุดท้าย, เหลือรถ 1 คันสุดท้าย และ รถคันสุดท้าย
2.เพิ่มเที่ยววิ่งรถเมล์ วันธรรมดา 22,000 เที่ยว/วัน วันเสาร์-วันอาทิตย์ 18,000-20,000 เที่ยว/วัน หรือจัดเดินรถให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา และ 3.ให้บริการรถเมล์ ตั้งแต่เวลา 05.00-21.00 น. (เวลา 21.00 น. คือ เวลาที่รถเมล์คันสุดท้าย ออกจากท่าปลายทาง) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น โดยเพิ่มความถี่การปล่อยรถ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า (05.00-08.00 น.) และช่วงเวลาเร่งด่วนเย็นถึงเวลาก่อนรถเมล์หยุดให้บริการ (16.00-22.00 น.) ให้มีระยะห่างกันไม่เกิน 5-10 นาที หรือจัดเดินรถ ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของประชาชน
ทั้งนี้ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้แก่ สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งขณะใช้บริการรถเมล์ นั่งหรือยืนตามจุดที่กำหนด กรณีผู้ใช้บริการเต็มจะต้องรอใช้บริการรถเมล์คันถัดไป รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ เตรียมตัวกลับบ้าน ก่อนเวลา 19.00 น. เพื่อลดความแออัดของผู้ใช้บริการบนรถเมล์ ช่วงเวลาก่อนรถเมล์หยุดให้บริการ (21.00-22.00 น.) ซึ่งจะทำให้ดำเนินการตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมบนรถเมล์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ