นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุม กกร.ว่า ได้มีการประเมินการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลในรอบนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีเนื่องจากสถานการณ์ติดเชื้อโควิด-19 ดีขึ้น และแผนการจัดหาวัคซีนมีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นจึงเห็นด้วยการผ่อนคลายล็อกดาวน์ และขอให้ไม่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกต่อไป เนื่องจากกระทบเศรษฐกิจอย่างมาก ควรใช้มาตรการที่อยู่ร่วมกับโควิด-19 ให้ได้ เพราะเชื่อว่า สถานการณ์โควิด-19 จะอยู่กันไปอีกนาน เช่น มาตรฐานบับเบิล แอนด์ ซีล
ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจหลักคลายล็อกดาวน์ ที่ประชุม กกร.เห็นว่า รัฐบาลควรมีมาตรการเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่มากขึ้น โดยมาตรการระยะสั้นต้องการให้ส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่ง โดยเพิ่มวงเงินจาก 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท รวมทั้งนำโครงการช้อปดีมีคืนกลับคืนมา เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ขณะที่มาตรการระยะยาว รัฐต้องเร่งเสริมสร้างฐานการผลิตรับมือสงครามการค้า และผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ๆ ควรทำต่อเนื่องผ่านการลงทุนกับเอกชน และดึงดูดลงทุนต่างประเทศ และเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือเอสเอ็มอีผ่านการค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งที่ผ่านมาไทยมีการค้ำประกันสินเชื่อน้อยมากแค่ 40% ในต่างประเทศมีสัดส่วนสูงถึง 70-80% ให้ภาครัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายชุดตรวจในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงช่วยเหลือมาตรการภาษี โดยพยายามประคองไม่ให้กระบวนการ ศก.ประเทศหยุดชะงัก
สำหรับการประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 65 หน่วยงานภาครัฐประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 65 จะเติบโตได้ในช่วง 3-5% ซึ่งการเติบโตระดับนี้ต่ำเกินไป และทำให้ระดับกิจกรรมเศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 62 ส่งผลให้ธุรกิจจำนวนมากยังบอบช้ำ ดังนั้นเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจฟื้นตัวกลับมายืนได้ด้วยตัวเองโดยเร็ว ภาครัฐควรกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ท้าทายขึ้นเป็น 6-8% เป็นไปได้ในภาวะที่คนไทยกว่า 50% ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว โดยภาครัฐจำเป็นต้องใช้กระสุนทางการคลังจากการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจาก 60% เป็น 70-80% สามารถกู้เงิน เพื่อให้มีเงินเข้าเพิ่มเติมเข้าอีก 7 แสนบาท-1.5 ล้านล้านบาท เน้นสนับสนุนการจ้างงาน และใช้ในมาตรการที่มี Multiplier กับเศรษฐกิจสูง อย่างมาตรการที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย หรือมาตรการค้ำประกันสินเชื่อที่สูงขึ้นและเทียบเคียงกับประเทศอื่น
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกร.ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 64 ดีขึ้นมาอยู่ในกรอบ ติดลบ 0.5% ถึง 1.0% ในส่วนของการส่งออก กกร. คาดว่า จะขยายตัว 12.0% ถึง 14.0% จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐให้การสนับสนุนภาคธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีวัคซีนให้แรงงานได้ทั่วถึง และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายการทำ Rapid Test ต่างๆ เพื่อให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างทันท่วงที ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2%
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตัวเลขจีดีพีที่ปรับขึ้น เนื่องจากการส่งออกจะเติบโต 12-15% ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เดียว ดังนั้นภาครัฐ ต้องให้ความสำคัญจริงจังช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายภาคเอกชนที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน เสนอไม่อยากให้มีการล็อกดาวน์อีก จะกระทบเศรษฐกิจมาก เพราะการล็อกดาวน์ จะต้องหยุด หมดไป และการเปิดประเทศจะทำได้
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ถ้าวัคซีนเข้ามาตามที่รัฐบาลสัญญาไว้ ในที่สุดน่าจะมีโอกาสเห็นการเปิดประเทศได้ ส่วนความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงเดือนส.ค.เสียหายต่อเดือนถึง 3 แสนล้านบาท และคาดว่าเดือน ก.ย. ความเสียหายจะลดลงเหลือ 2 แสนล้าน และเดือน ต.ค. ก็น่าจะดีขึ้นถ้าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ โดยแต่ละบริษัทจะมีการสร้างกิจกรรม เช่น เทศกาลปีใหม่ทำให้คึกคัก จะนี้จะส่งดีต่อเศรษฐกิจช่วงปลายปี