เขาอยากให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีเสรีภาพ และความเท่าเทียม เคารพความหลากหลาย และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เขาฝันว่าลูกๆ ของเขาจะเติบโตขึ้นมาในประเทศที่ผู้คนไม่ได้วัดค่าของคนจากสีผิว เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมที่พวกเขาแสดงออก และเขาฝันว่าวันหนึ่งลูกของทาสผิวดำ และลูกของเจ้านายผิวขาว จะนั่งร่วมโต๊ะอาหารเสวนากันอย่างเท่าเทียมและมีความสุข…วิสัยทัศน์นี้ต่อมาแปลเป็นแผนงานต่างๆ ที่เขาเตรียมตัวจะทำให้เป็นความจริง…แต่น่าเสียดายที่เขาถูกลอบยิงเสียชีวิตเสียก่อนในเวลาต่อมา

ผู้นำการเปลี่ยนแปลงนั้น มักจะต้องขายฝัน ขายภาพแห่งอนาคต ขายภาพการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากประชาชน

ในด้านความยั่งยืน มีผู้นำประเทศต่างๆ ขายภาพฝันที่จะทำให้ประเทศของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง ลดความยากจน เหลื่อมล้ำ ต่อต้านคอร์รัปชั่น มุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว ต่อสู้กับภาวะโลกร้อนอย่างเร่งด่วน ส่วนใหญ่เขาจะหยิบยกประเด็นความยั่งยืนที่เหมาะกับบริบทของสังคมของเขาขณะนั้น มาสัก 2-3 ข้อ ที่เป็นวาระเร่งด่วน โดนใจประชาชน บอกวิธีทำ บอกว่าต้องออกกฎหมายอะไรใหม่ และยกเลิกอะไร ระบุหน้าที่หน่วยงานรับผิดชอบ และที่มาที่ไปของแหล่งเงินทุนที่จะต้องใช้ในโครงการเหล่านั้น

ลองมาดูตัวอย่างของผู้นำประเทศฝรั่งเศส ที่จะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิคครั้งต่อไป ที่จะเน้นการจัดการการแข่งขันกีฬาอย่างยั่งยืนในปี 2024 จะต้องเป็นกีฬาที่สะท้อนความร่วมมือระดับโลกในประเด็นความยั่งยืน การกีฬาที่ยั่งยืน ย่อมต้องอยู่ในประเทศที่มีวิสัยทัศน์ความยั่งยืนที่ชัดเจน

เอมมานูเอล มาครอง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส แสดงวิสัยทัศน์วาดภาพประเทศของเขาในอนาคตไว้ว่า “ประเทศของเราต้องให้ความสำคัญเร่งด่วนกับอนาคตที่ยั่งยืน ประชาชนของเราต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในขณะที่ต้องรักษาคุณภาพของสิ่งแวดล้อมของโลกให้ดีควบคู่กันไป รัฐบาลของเราจะมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเพิ่มการลงทุนในพลังงานทางเลือก พลังงานสะอาด ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน และการผลิตที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลของเราจะเป็นผู้นำในการปฏิบัติต่างๆ และจะประสานความร่วมมืออย่างเหนียวแน่นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ทั้งส่งเสริมความรู้ แนวทางปฏิบัติ และสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมร่วมมือกัน เพื่อนำพาประเทศของเราสู่ความมั่งคั่ง และยั่งยืน”

ตอนสุดท้าย ฟังดูคุ้นๆ นะครับ เพียงแต่ที่ผ่านมา เราอาจจะไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่าจะทำให้เกิดความมั่งคั่ง และยั่งยืน ได้อย่างไร ต้องทำอะไรที่เร่งด่วนบ้าง และใครรับผิดชอบ

อาทิตย์นี้ เราลองมาส่องดู วิสัยทัศน์ของพรรคการเมืองต่างๆ กันครับ ผู้สื่อข่าวของเราพยายามเจาะไปคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ ดูว่าเขาจะพูดเรื่องนโยบายความยั่งยืนที่เกี่ยวกับ SDG อย่างไร

พรรคภูมิใจไทย…“สุขภาวะนำไทย สู่ความยั่งยืน” พรรคเล่าว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เท่าๆ กัน และมีนโยบายของพรรคที่สอดคล้องกับ SDG แต่ถ้าให้เลือกความเร่งด่วนแล้ว พรรคจะเลือก ข้อ 1 ขจัดความยากจน ข้อ 10 ลดความเหลื่อมล้ำ และข้อ 3 ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี และสุขภาวะทุกช่วงวัย ดูเหมือนหัวหน้าพรรคยังคงพยายามขับเคลื่อนงานต่างๆ ที่ทำไว้เดิมให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นอย่างเสรี เช่น ระบบสาธารณสุขเท่าเทียมถ้วนหน้า การท่องเที่ยวยั่งยืน และเครือข่ายการคมนาคมที่ทันสมัยด้วยพลังงานสะอาด

พรรคชาติไทยพัฒนา…“ลดโลกร้อน สร้างรายได้ชุมชน ด้วยการก้าวสู่ Net Zero ไปด้วยกัน” พรรคที่มีผลงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม และหัวหน้าพรรคสนับสนุนการขับเคลื่อนของ SDG มาโดยตลอด โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม และการลดภาวะโลกร้อน พรรคให้ความสนใจกับข้อ 13 การต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ข้อ 14 สร้างความสมบูรณ์ให้ระบบนิเวศใต้น้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงใต้ทะเล และข้อ 15 ฟื้นฟูป่า และระบบนิเวศน์บนบกทั้งความหลากหลายของพันธุ์พืช และสัตว์ป่าอนุรักษ์ต่างๆ และต่อไปจะสนับสนุนให้เกิดระบบตลาดคาร์บอนที่ส่งเสริมรายได้แบบใหม่ให้เกษตรกร และชดเชยคาร์บอนให้อุตสาหกรรม เพื่อเดินทางสู่ Net Zero ไปด้วยกัน

พรรคพลังประชารัฐ…“ก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างรัฐสวัสดิการ สู่อนาคตยั่งยืน” เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐเดิม เป็นหลักในการผลักดันเป้าหมายความยั่งยืน และยังคงให้ความสำคัญกับ ข้อ 1 ขจัดความยากจน ข้อ 10 ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ทิ้งใครไว้ด้านหลัง และข้อ 16 สันติภาพและการลดความขัดแย้ง พรรคยังคงจะประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันเรื่องเหล่านี้ต่อไป ถึงแม้เคยมีบทเรียนเรื่องการบริหารจัดการระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ ให้บูรณาการกัน ลดความขัดแย้งระหว่างพรรคต้นสังกัด เผื่อผลักดันนโยบาย สู่การปฏิบัติก็ตาม คราวนี้คงจะต้องมาดูกลไกต่างๆ อย่างจริงจัง เพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งพัฒนาระบบรัฐสวัสดิการที่สมบูรณ์ขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

พรรคเพื่อไทย...“ยกระดับความยั่งยืนไทย สู่เวทีโลก” พรรคเพื่อไทยเคยมีชื่อเสียงด้านการส่งเสริมธุรกิจสร้างสรรค์เป็นพลังขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และคราวนี้พรรคจะให้ความสำคัญกับข้อ 1 ขจัดความยากจน ข้อ 4 ยกระดับการศึกษา และข้อ 10 ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเท่าเทียม โดยต้องคำนึงถึงพลวัตรของโลก ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ประชาชน ให้พึ่งพาตนเองได้ในโลกที่ผันผวน เราต้องทำเรื่องความยั่งยืนเป็นตัวอย่าง และเราต้องมีบทบาทสำคัญในเวทีนานาชาติที่จะผลักดันเรื่องนี้อีกด้วย

พรรคก้าวไกล…“ความจริงใจ และจริงจัง เท่านั้น จะพาเราสู่ความยั่งยืน” พรรคให้ความสำคัญกับความเสมอภาคและเท่าเทียมมาโดยตลอด และพยายามผลักดันเรื่องนี้ ที่ผ่านมาเห็นผู้บริหารประเทศออกมาพูดกันบ่อยเรื่องความยั่งยืน แต่พอดูงบประมาณที่จัดสรรออกมา และการจัดการกับกลไกการขับเคลื่อนภาครัฐ น่าจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม พรรคเราจะให้ความจริงจังกับการขับเคลื่อนเรื่องนี้ โดยให้ความสำคัญกับข้อ 3 การสร้างหลักประกันด้านสุขภาวะ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี ข้อ 6 คุณภาพของน้ำ และระบบสุขาภิบาล และข้อ 13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การจัดการกับปัญหาฝุ่นควันอย่างเร่งด่วน รวมถึงการร่วมมือกันอย่างจริงจังในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน และที่สำคัญ พรรคของเราจะแสดงให้เห็นความจริงใจ ด้วยการจัดสรรงบประมาณของชาติให้เหมาะสมกับสิ่งที่พูด จะนำงบประมาณของชาติที่มีอยู่จำกัด ไปใช้ในเรื่องที่เป็นปัญหาเร่งด่วนของประชาชน มิใช่กองทัพ

นี่คือข้อมูลที่ผู้สื่อข่าวของเราประมวลมาให้ฟัง หลังจากที่ได้สัมภาษณ์นักการเมืองจากพรรคต่างๆ กันมาอย่างต่อเนื่อง และเราคงจะพอเห็นภาพลางๆ จากโพลที่เราทำในอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า พรรคใดกำลังจะมา อย่างไรก็ตาม ผมยังคงอยากฟังวาทกรรม “I have a dream” จากปาก candidate นายกรัฐมนตรีที่เห็นลางๆ ในโพล ซึ่งจะพยายามติดตามต่อไปในฉบับหน้า.