เผลอแป๊บเดียวเงินในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กลายเป็นระบบการเงินในโลกยุคเก่าไปแล้ว แต่ระบบการเงินยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี “บล็อกเชน” กำลังเข้ามาเกี่ยวพันกับการดำเนินชีวิตประจำวันของคนไทย
ย้อนไปเมื่อ 7 มี.ค. 66 คณะรัฐมนตรีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกายกเว้นเงินได้ภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม จากการขาย “โทเคน ดิจิทัล” เพื่อการลงทุน และเพิ่มทางเลือกในการระดมทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา แต่เพิ่งอนุมัติในหลักการเท่านั้น!
ต่อมา 10 เม.ย. 66 ได้อ่านมุมมองของ รศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ของบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) บอกว่าถ้าได้เป็นเลขาฯกลต. จะผลักดัน Digital Asset (สินทรัพย์ ดิจิทัล) และพร้อมรับผิดชอบกับสิ่งที่ผลักดัน!
มุมมอง รศ.ดร.พรอนงค์ อยู่ในช่วงเวลาของข่าวเด่น ประเด็นร้อน! กรณีพรรคเพื่อไทยกำลังนำเสนอการแจกเงินดิจิทัล ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า นโยบายนี้คือดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท สำหรับประชาชนทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ประมาณ 50 ล้านคน ภายใน 6 เดือน ทำครั้งเดียวจบ!
เพื่อต้องการกระตุกเศรษฐกิจที่บอบช้ำมา 8 ปี จึงต้องกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในท้องถิ่น ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง “บล็อกเชน” ที่สามารถระบุวิธีการใช้เงินว่าจะนำไปใช้จ่ายอะไรได้บ้าง สำหรับพื้นที่ตามที่ระบุในบัตรประชาชน ในรัศมี 4 กิโลเมตร หรืออาจพิจารณาขยายเป็น 5-7 กิโลเมตร ในชนบทห่างไกล
นายเศรษฐา ย้ำว่า นโยบายนี้ไม่เกี่ยวกับ “แสนสิริ” เลย! ไม่ใช่แจกพร่ำเพรื่อ 500-700 บาท แบบหยอดน้ำข้าวต้มไปเรื่อย ๆ แต่ของเราแจกหนเดียว กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และตรงจุดในการกระจายเงินไปยังเมืองต่าง ๆ
“พยัคฆ์น้อย” อ่านคำอธิบายนโยบายดิจิทัลวอลเลต ประมาณว่าถ้าโอนเงิน 5,000 บาท จำนวน 50 ล้านคน คือ 250,000 ล้านบาท จะเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมหภาค 6 เท่า คือ 1,500,000 ล้านบาท จะส่งผลต่อการบริโภคในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ
แต่ถ้าโอนเงินครั้งเดียว 10,000 บาท จำนวน 50 ล้านคน เท่ากับ 500,000 ล้านบาท จะเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมหภาค 6 เท่า คือ 3,000,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 105,000-210,000 ล้านบาท เป็นอย่างต่ำ และยังไม่นับรวมภาษีรายได้ของบุคคลและนิติบุคคล
ขณะที่ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล หนึ่งในทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ระบุว่า เงินยุคใหม่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ให้เราเขียนเงื่อนไขการใช้จ่ายลงบนเงินได้ ให้ใช้ภายใน 6 เดือน เพราะต้องการเงินหมุนในระดับหมู่บ้าน นี่คือจุดแตกต่างของเรากับ “แอปเป๋าตัง” ที่เป็นเงินในโลกยุคเก่า
ต่อจากนี้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป จะมี 2 บัญชี คือ บัญชีออมทรัพย์ทั่วไป และบัญชีดิจิทัล วอลเล็ต จะผูกบัตรประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคนโดยอัตโนมัติ โดยจะมีกุญแจดิจิทัลให้ประชาชนเข้าถึงบัญชีนี้ ดึงดูดผู้ใช้ด้วยการใส่เงินก้นถุง 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างแรงจูงใจระบบการเงินยุคใหม่นี้
เมื่อจบโครงการดังกล่าว ประเทศไทยจะก้าวสู่ระบบการเงินยุคใหม่ (CBDC) หรือ Central Bank Digital Currency ซึ่งสามารถต่อยอดใช้ในระบบการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ การจัดซื้อจัดจ้าง และการใช้จ่ายปกติทั่วไป
พูดง่าย ๆ ว่าปัญหา “เงินทอน” การอมเงินเดือน อมเบี้ยเลี้ยงลูกน้อง! ในอนาคตจะลำบากขึ้น!!
——————-
พยัคฆ์น้อย
