นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้รายงานตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) เดือน ก.ค. 64 อยู่ที่ระดับ 91.41 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.12% เป็นอัตราการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ทำให้ภาคการผลิตของไทยได้รับอานิสงส์ สะท้อนจากการส่งออกของไทยเดือน ก.ค. ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เช่นกัน มูลค่าส่งออกกว่า 7 แสนล้านบาท ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงฯยังเน้นการควบคุมการระบาดในสถานประกอบการอย่างใกล้ชิด และได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามมาตรการควบคุมพื้นที่เฉพาะ หรือบับเบิลแอนด์ซีล และได้จัดทำโครงการนำร่องการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงานอุตสาหกรรม หรือแฟคทอรี แซนด์บ็อกซ์ ภายในสถานประกอบการ เน้นดูแลอุตสาหกรรมส่งออก เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อไปได้

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า เอ็มพีไอเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ระดับ 91.41 เพิ่มขึ้น 5.12% ส่งผลให้ 7 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ก.ค. 64) เอ็มพีไออยู่ที่ 99.03 เพิ่มขึ้น 8.91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 90.92 ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 58.12% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับ 57.25% ช่วง 7 เดือนอัตราการใช้กำลังผลิตอยู่ที่ 64.09% อุตสาหกรรมสำคัญที่ทำให้เอ็มพีไอขยายตัว เช่น  รถยนต์และเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์ยาง

อย่างไรก็ตาม สศอ.ยังคงเป้าหมายเอ็มพีไอปีนี้อยู่ที่ 4-5% และผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 3-4% แม้ล่าสุดรัฐบาลโดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.มีมติผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด คาดว่าจะส่งผลดีต่อภาคการผลิตให้มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่จะขอติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอีกครั้ง เพราะประเด็นการส่งออกยังประสบปัญหาค่าระวางเรือที่สูงขึ้น ผลกระทบจากโควิด-19 ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิพ) ดังนั้นอีก 2 เดือนข้างหน้าคือ เดือน พ.ย. จะพิจารณาตัวเลขเป้าหมายอีกครั้ง  

“สศอ.เพิ่งปรับเป้าหมายเอ็มพีไอและจีดีพีอุตสาหกรรมไป ดังนั้นจะขอเวลาติดตามดูสถานการณ์อีกครั้ง แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าเดือนกันยายน ซึ่งรัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และแนวโน้มการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้นและเชื่อว่าสิ้นปีจะไปสู่ระดับ 100 ล้านโด๊ส น่าจะส่งผลดีต่อการผลิตภาพรวม ส่งผลดีต่อเอ็มพีไอและจีดีพีอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน ซึ่งปัญหาการขาดแคลนชิพเชื่อว่าจะไม่กระทบมาก เพราะว่า ผู้ประกอบการได้วางแผนรับมือไปพอสมควรเช่นเดียวกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ในโรงงาน”