สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่า ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส กล่าวต่อที่ประชุมด้านความร่วมมือและการเป็นหุ้นส่วน ด้านความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่กรุงแบกแดด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ว่าในส่วนของความร่วมมือด้านความมั่นคงในอิรักนั้น ไม่ว่าสหรัฐจะตัดสินใจอย่างไรกับทหารของตัวเองซึ่งเหลืออยู่หลักร้อย แต่ฝรั่งเศสจะยังคงประจำการทหารไว้ที่นี่ต่อไป 
ทั้งนี้ การตัดสินใจนั้นเพื่อสนับสนุนภารกิจทางทหารของรัฐบาลแบกแดด ในการปราบปรามและต่อสู้กับการก่อการร้ายทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกลุ่มไอเอสซึ่งยังคงเป็นภัยคุกคาม และชื่นชมการประชุมครั้งนี้ว่า บ่งชี้การกลับคืนสู้เส้นทางการมีเสถียรภาพของอิรัก ตั้งต้องต่อสู้กับกลุ่มไอเอสมานานหลายปี และเริ่มฟื้นฟูได้ เมื่อปี 2560
ขณะที่แหล่งข่าวในรัฐบาลแบกแดดเผยว่า ประธานาธิบดีบาร์ฮัม ซาลีห์ และนายกรัฐมนตรีมุสตาฟา อัล-คาดิมี เพื่อส่งเสริมบทบาทของอิรักในฐานะ "คนกลางเพื่อการประนีประนอม" ต่อวิกฤติการณ์หลายเรื่องในภูมิภาค ที่รวมถึงการต้องเป็นผู้รักษาสมดุลให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา และนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา อิรักยังเป็นผู้ประสานงานการเจรจาฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน ซึ่งทั้งสองประเทศยุติความสัมพันธ์กันตั้งแต่ตอนนั้น
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เข้าร่วมการประชุมด้านความมั่นคงตะวันออกกลาง ที่กรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก

อนึ่ง เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์ฮาน รมว.การต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย และนายฮอสเซ็น อมิราบโดลลาเฮียน รมว.การต่างประเทศของอิหร่าน เข้าร่วมการประชุมที่กรุงแบกแดดด้วย แต่ยังไม่มีการยืนยันว่า ทั้งคู่มีโอกาสสนทนาหรือพบหารือกันนอกรอบหรือไม่


อย่างไรก็ตาม เลบานอนซึ่งขาดการบริหารโดยรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมานานกว่า 1 ปี และซีเรียที่ถูกระงับสถานภาพสมาชิกของสันนิบาตอาหรับมาตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่สงครามกลางเมืองปะทุขึ้น ไม่ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมการหารือครั้งนี้.

เครดิตภาพ : AP