เมื่อวันที่ 29 ส.ค.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ  เปิดเผยว่า ตนค้นหาหลักฐานในกูเกิล (google) และขอเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อช่วย ป.ป.ช. ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามที่ตนได้ยื่นหนังสือขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร  ส.ส.มหาสารคราม พรรคเพื่อไทยไปแล้วนั้น ตนยังได้ค้นคว้าหาข้อมูลต่อไป และได้พบข้อมูลเพิ่มเติม คือ กรณีของนายพิธา พบว่า นายพิธา ระบุในบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ว่า คู่สมรสเป็นเจ้าของบริษัท เลอ-บลองค์ จำกัด แต่ไม่ได้แจ้งหุ้นไว้แต่อย่างใด กรณีจึงมีเหตุอันควรสงสัย แต่เมื่อไปตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่พบข้อมูล บริษัท เลอ-บลองค์ จำกัด แต่อย่างใด และเมื่อค้นหาต่อไปก็พบชื่อของ บริษัท เลอ บลังซ์ จำกัด แทน

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า เมื่อขอเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาตรวจสอบ ก็พบว่า บริษัท เลอ บลังซ์ จำกัด  เป็นบริษัทที่คู่สมรสนายพิธาเป็นกรรมการและถือหุ้นอยู่ด้วยจำนวน 97 หุ้น ๆละ 10,000 บาท รวมมูลค่า 970,000 บาท นายพิธา เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและลงลายมือชื่อไว้ และเคยถือหุ้น 2 หุ้น รวม 20,000 บาท ประกอบกับการยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด ณ วันที่ 30 เม.ย. 61 คู่สมรสนายพิธา ยังคงถือหุ้นอยู่เท่าเดิม และไม่มีการยื่นแก้ไขเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด จะมีเฉพาะที่คู่สมรสนายพิธาได้มีการยื่นแก้ไขนามสกุลจาก “ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนามสกุลเดิม เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 63 ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่า ณ วันที่ 25 พ.ค. 2562 ซึ่งเป็นวันที่นายพิธายื่นบัญชีต่อ ป.ป.ช.  ซึ่งนายพิธาแจ้งว่าคู่สมรสเป็นเจ้าของบริษัท เลอ-บลองค์ จำกัด นั้น ย่อมทำให้เข้าใจได้ว่า คู่สมรสนายพิธายังคงถือหุ้นอยู่ 970,000 บาท อยู่ด้วย

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ดังนั้น เอกสารที่ขอมาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงเป็นหลักฐานที่ต้องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบต่อไปว่า นายพิธา ปกปิดบัญชีเงินลงทุนของคู่สมรส หรือไม่ และนายพิธาจะอ้างว่าไม่รู้ก็คงไม่ได้ เพราะในเอกสารบริษัทดังกล่าวมีนายพิธา เคยถือหุ้น เคยร่วมก่อตั้งและลงลายมือชื่อไว้ด้วย  ประกอบกับเคยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกานักการเมือง เช่น คดีหมายเลขแดงที่ อม.195/2562  พิพากษาว่าการไม่แจ้งเงินลงทุนใน หจก. 1 ล้านบาท เป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งและตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร พบว่าเมื่อ ส.ค. 54 เคยแจ้งต่อ ป.ป.ช. ว่ามีบ้านเลขที่ 2 ซ.สามัคคี 60/3 มูลค่า 1,000,000 บาท ระบุว่าตั้งอยู่บนโฉนดเลขที่ 197184 แต่น่าสงสัยเพราะไม่ได้แจ้งมูลค่าที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว ไว้แต่อย่างใด เมื่อตรวจค้นข้อมูลเพิ่มเติมในกูเกิล พบข่าวว่า นายยุทธพงศ์ เพิ่งจัดเลี้ยงงานวันเกิดเมื่อ 1 เม.ย. 64 ที่อาคารสามัคคี โดยมีบุคคลในรัฐบาล เช่น รัฐมนตรี  ส.ส.  ปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปร่วมงานด้วย และยังพบข้อมูลว่า มีนักธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์หลายรายทั้งค่าย พลังงาน มือถือ หนังสือพิมพ์ ไปร่วมงานและมอบของขวัญด้วย (ทั้งนี้จะส่งหลักฐานเป็นรูปภาพต่างๆ อีกครั้ง เมื่อ ป.ป.ช. เรียกไปชี้แจง)

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในข่าวยังระบุด้วยว่า นายยุทธพงศ์ ยังมีเซฟเฮ้าส์ย่านตึกสูงพระราม 3 อีกด้วย โดยจากข่าวข้างต้น ซึ่งลงในเว็บไซต์ของสื่อหนังสือพิมพ์ ประกอบกับมีหลักฐานเป็นภาพบุคคลที่ไปร่วมงานและมอบของขวัญ จึงมีมูลที่ควรขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบนายยุทธพงศ์ต่อไป เกี่ยวกับ บ้านซ.สามัคคี อาคารสามัคคี เซฟเฮ้าส์ตึกสูงย่านพระราม 3 ซึ่งไม่มีในบัญชีที่แจ้ง ป.ป.ช. กรณีรับตำแหน่ง ส.ส. ล่าสุด

นายเรืองไกร  กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวของทั้ง 2 คน จึงมีเหตุต้องขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของนายพิธา และนายยุทธพงศ์ และเป็นเรื่องที่ควรแจ้งสื่อให้ทราบด้วย  เพื่อป้องกันมิให้เรื่องเงียบหาย และเป็นการช่วยติดตามการทำงานของ ป.ป.ช. ให้เป็นไปโดยเร็วด้วย ดังนั้นในช่วงเช้าวันที่ 30 ส.ค.นี้ ตนจะส่งหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบเพิ่มเติมต่อไปทางไปรษณีย์ EMS.