จะไม่เขียนถึงได้อย่างไรล่ะ ช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่สายเกินไป จดหมายเปิดใจที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขยันส่งออกมาสื่อสาร นอกจากตอกย้ำเรื่องที่ตัวเองไม่ได้เป็นหัวหอกในการปฏิวัติ ล้มล้างรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ร่วมกับ 2 ป. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ ป.ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่กลายเป็นแกนหลักของ ระบอบ 3 ป. ครองอำนาจประเทศต่อเนื่องเกือบทศวรรษ

กระทั่งตอนนี้ เข้าสู่การเปลี่ยนผ่าน คนไทยกำลังจะได้ “อำนาจคืน” ด้วยการเข้าคูหาเลือกตั้งใหญ่ไม่ 7 ก็ 14 พ.ค. 66 นี้ แต่ไม่วาย 250 ส.ว.ลากตั้ง จะออกมาตบหน้าคนไทย พรรคไหนแลนด์สไลด์ก็ไม่สน นายกฯ ต้อง ป.ประยุทธ์ กับ ป.ประวิตร เท่านั้น ช่างอหังการ

โฆษกรัฐบาล" ปัด "ประยุทธ์-ประวิตร" เกาเหลา ยันรักกันดี "พปชร." ปึ้ก

จดหมายฉบับล่าสุด อันเป็นฉบับที่ 4 และคงมีออกมาอีกแน่นอนจนกว่าจะมีการรวมเล่ม บอกความในใจ ทำไมต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง “สมานฉันท์ประชาชาติ นับหนึ่งประเทศไทย” สรุปโดยย่อ ๆ ชี้ไปที่กลุ่ม “อีลิท” ผู้กุมชะตากรรมบ้านเมืองว่า คนกลุ่มนี้ซึ่งรวมตัวเองด้วย ไม่ไว้วางใจประชาชนที่เลือกนักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศ มอง “ความเป็นมาและพฤติกรรมของนักการเมืองด้วยความไม่เชื่อถือ จึงเลือกวิธีปฏิวัติรัฐประหารเข้ามาใช้อำนาจแก้ไขบ้านเมืองให้ดีขึ้น”

การรับราชการทหารมาเกือบทั้งชีวิต ทำให้ผมรู้จัก เข้าใจและแทบจะมีความคิดในทางเดียวกันกับคนที่หวังดีต่อประเทศชาติเหล่านี้” อีกตอนในจดหมายระบุ ซึ่งก็จริงตามนั้น ทหารถูกบ่มเพาะให้มีแนวคิดเป็น “อภิสิทธิ์ชน” จึงมักทำตัวอยู่เหนือคนอาชีพอื่น ๆ มองว่าตัวเองเท่านั้นที่รักชาติ ปกป้องบ้านเมือง นักการเมืองหรือคนอื่นล้วนแต่มุ่งหวังผลประโยชน์จากประเทศชาติทั้งสิ้น

พล.อ.ประยุทธ์ แคนดิเดตนายกฯพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคที่ปูทางสู่อำนาจที่เหลือ 2 ปี คือตัวอย่างชัดเจนเรื่องนี้ พลันที่พรรคเพื่อไทยแต่งตั้ง นายเศรษฐา ทวีสิน ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านอสังหาริมทรัพย์ มาเป็นประธานที่ปรึกษา ..แพทองธาร ชินวัตร เท่านั้นล่ะ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนมือบวมและดาบหล่นใส่ก็ด้อยค่านายเศรษฐาทันที “เค้าเก่งด้านไหน ทำธุรกิจอะไร ประเทศชาติไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัวใคร จำคำพูดผมไว้” ก็คงไม่ใช่แต่นายเศรษฐาที่จะจำไว้ คนไทยก็จะจำไว้เช่นกัน

คนไทยจำได้ว่า ใครที่บอกบริหารประเทศชาติง่ายนิดเดียว ง่ายนิดเดียวจริง ๆ พล.อ.ประยุทธ์ นำพาให้ไทยกลายเป็นทศวรรษแห่งความสูญเปล่าโดยแท้ เศรษฐกิจโตเกือบต่ำสุดในอาเซียน หนี้สาธารณะจาก 5 ล้านล้านเป็น 10 ล้านล้าน ตัวเลขบัตรคนจนทางการพุ่งปรี๊ด 19 ล้านคน แต่กลับกลายเป็นยุทธศาสตร์หาเสียง มันน่าอาย ไม่ใช่น่าภาคภูมิใจเลย การเมืองก็อัปยศ มีแต่งูเห่า แจกกล้วย

ที่สำคัญคนไทยตาสว่าง ประเทศชาติจะไม่ใช่ให้ใครมาบริหารแบบ “ค่ายทหาร” อีกต่อไป

ที่สุดของจดหมายฉบับที่ 4 ส่งท้ายว่า ฝ่ายอำนาจนิยมกับเสรีนิยมหาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้ ใช่ ตรงนี้ พล.อ.ประวิตร พูดถูก แต่ที่บอกทั้ง 2 ฝ่ายพยายามหาทางให้ฝ่ายตัวเองชนะเด็ดขาด ทำลายอีกฝ่ายให้สูญสิ้นนั้น พล.อ.ประวิตร ย่อมรู้ว่าไม่จริงเลย ฝ่ายประชาธิปไตยชนะได้หนทางเดียวผ่านบัตรเลือกตั้ง ขณะที่อีกฝ่ายชนะด้วยปากกระบอกปืน ที่เหลือคือ การร่าง รธน.อัปยศสืบทอดอำนาจ เช่น รัฐธรรมนูญปี 60 ที่ตัวเองก็ได้ร่วมเสวยผลประโยชน์จนถึงตอนนี้ไง

ประวัติศาสตร์บอกให้รู้ว่า หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 จนผ่านมา 90 กว่าปี อำนาจบริหารประเทศตกอยู่ในมือนักการเมืองพลเรือนรวม ๆ ไม่ถึง 2 ทศวรรษมั้ง ที่เหลืออยู่ในอำนาจเบ็ดเสร็จของฝ่ายทหารที่มาจากปากกระบอกปืนทั้งสิ้น

ใครทำลายล้างใครได้รุนแรงเด็ดขาดกันแน่

พล.อ.ประวิตรจึงไม่ควรตีกินฟอกตัวเอง หากจริงใจ เข้าใจ “จิตวิญญาณเสรีนิยม” จริงอย่างที่เขียนในฉบับที่ 4 เรียกร้องให้ออกมาแสดงจุดยืน พปชร. ต้องชูเป็นนโยบายหาเสียง ปิดสวิตช์ ส.ว.ลากตั้ง ให้เลือกตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ พรรคใดได้เสียงข้างมากได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาล จะปฏิรูปกองทัพ ลดนายพล ตัดงบฯ ซื้ออาวุธ 20% เป็นต้น สุดท้าย โปรดออกมาโค้งคำนับขอโทษประชาชนที่เผลอร่วมขบวนการล้มล้างประชาธิปไตยอย่างเป็นทางการ เหมือนที่ผู้นำญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แสดงความจริงใจและรับผิดชอบเมื่อทำผิดพลาด

นับหนึ่งประเทศไทยต้องเดินแบบนี้ต่างหาก

แล้ว พล.อ.ประวิตร จะนั่งในหัวใจประชาชน และจะเป็นคนใน “ตำนาน” อย่างแท้จริง คนที่กล้าหาญ และมีส่วนร่วมในการนำชาติหลุดพ้น “กับดัก” ปฏิวัติรัฐประหารและ รธน.อัปยศ ดีกว่าใส่กางเกงยีนเสื้อบอส กินนมร้านมนต์ เต้นทรงแบด ที่เปลี่ยนก็แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

——————-
ดาวประกายพรึก