ภาพกิจกรรมของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมากมาย ที่พากันไปลุยโคลนเพื่อนำต้นกล้าของแสม หรือโกงกางไปปักดำลงบนผืนดินโคลนที่โผล่ขึ้นมาในช่วงเวลาที่น้ำลด บางคนอาจเคยคิดว่าต้นกล้าที่นำไปปลูกเหล่านั้นจะเติบโตจริงหรือ จะมีสักกี่ต้นที่รอดพ้นจากคลื่นลมที่พร้อมจะถอนรากถอนโคนให้ปลิวไปกับสายน้ำ ทว่าการทำกิจกรรมแบบนั้นซ้ำ ๆ ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี พร้อมกับองค์ความรู้ที่เสริมเพิ่มเติมจนทำให้อัตรารอดของไม้ป่าชายเลนเหล่านั้นมีมากกว่าร้อยละ 80 คือความสำเร็จที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยมีรากไม้ที่หยั่งลึกลงในดินและเรือนยอดสูงที่ค่อย ๆ ขยายพื้นที่ออกมามากขึ้น

ความสำเร็จที่ว่าไม่ใช่เพียงเพราะคนภายนอกที่เข้ามาทำกิจกรรมเพียงไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละครั้ง หากแต่เป็นเพราะความร่วมมือของชุมชนในพื้นที่ซึ่งเป็นส่วนสำคัญทั้งในเรื่องขององค์ความรู้และภูมิปัญญา รวมไปถึงการใส่ใจดูแลป่าที่ปลูกเพิ่มใหม่ และนั่นคือสิ่งที่ถูกนำมาแบ่งปันใน งาน Blue Carbon Conference 2022 “คาร์บอนทะเล : หนุนธุรกิจสู่ Net Zero เสริมระบบนิเวศและชุมชน” งานเสวนาที่กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) องค์กรภาคีเครือข่าย ภายใต้โครงการ Dow & Thailand Mangrove Alliance ร่วมกันจัดขึ้น โดยมีตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จในการฟื้นฟูและบริหารจัดการพื้นที่ป่าชายเลนในประเทศไทย

นายขยาย ทองหนูนุ้ย ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 ได้ถ่ายทอดประสบการณ์การปลูกป่าชายเลนที่จังหวัดระนองใน 2 โครงการสำคัญ คือ โครงการปลูกป่าชายเลนเชื่อมมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น เพิ่มศักยภาพชุมชนอนุรักษ์ป่าชายเลน และโครงการพัฒนาชุมชนชายฝั่งจังหวัดระนองให้เข้มแข็งรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยระบุว่า ปัจจุบันจังหวัดระนองมีพื้นที่ป่าชายเลนสมบูรณ์ 171,737 ไร่ และกำลังเสนอให้ป่าชายเลนระนองเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ สำหรับโครงการแรก ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 6 ร่วมกับ OISCA (Thailand) และองค์กรภาคเอกชนและอาสาสมัครปลูกป่าชาวญี่ปุ่นได้จัดทำโครงการปลูกป่าชายเลน ด้วยการคัดเลือกพื้นที่เข้าโครงการ ซึ่งเป็นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรมหลังสิ้นสุดสัมปทาน เหมืองแร่เก่า บ่อกุ้งเก่า และพื้นที่พิเศษหรือพื้นที่เสื่อมโทรมขั้นวิกฤติ มีอาสาสมัครมาทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อปลูกป่าเชิงคุณภาพ สามารถฟื้นฟูป่าชายเลนกว่า 9,000 ไร่

“โครงการนี้มีแคมเปญปลูกป่าชายเลนที่น่าสนใจคือ “Homerun Mangrove หนึ่งโฮมรันปลูกพันต้นโกงกาง” โดยเป็นการนับยอดโฮมรันที่นายโนบุฮิโกะ มัตสึนากะ (Nobuhiko Mutsunaka) นักเบสบอลชื่อดังทำได้ใน 1 ปี ซึ่งตอนนั้นมีการปลูกป่าโกงกางกว่า 4,000 ต้น”

ทั้งนี้ พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนคือวิธีที่ได้ผลดีและยั่งยืนในการปลูกป่าชายเลน โดยเจ้าหน้าที่ภาครัฐต้องเป็นสะพานเชื่อมกับชุมชน ปลูกป่าเชิงคุณภาพบนพื้นฐานวิชาการและข้อมูลที่เป็นจริงว่าพื้นที่ใดปลูกได้ พื้นที่ใดปลูกแล้วจะไม่รอด ยิ่งไปกว่านั้นต้องเปลี่ยนการปลูกป่าให้เป็นการสร้างงานและรายได้ให้คนในชุมชน

ขณะที่ โครงการพัฒนาชุมชนชายฝั่งจังหวัดระนองให้เข้มแข็งรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เน้นทำให้ชุมชนมีองค์ความรู้ สามารถปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด และมีอาชีพมีรายได้ที่มั่นคง โดยมีเป้าหมาย คือ ชุมชนบ้านเกาะคณฑี ชุมชนบ้านเกาะเหลา ชุมชนบ้านเกาะสินไห และชุมชนบ้านฉาง-ท่าต้นสน

“ปัจจุบัน มีทุนที่จะลงไปพัฒนาชุมชนมาก ควรเตรียมความพร้อมชุมชนอย่างเข้มข้น ทำให้เห็นว่า การรวมกลุ่มจะทำให้มีโอกาสมากขึ้น ต้องลดช่องว่างระหว่างภาคนโยบายกับการปฏิบัติให้ได้”

ข้ามมาที่ระยองพื้นที่ปากน้ำประแส ป่าชายเลนที่ไม่เพียงเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ และแหล่งรายได้ของผู้คนในชุมชน วันนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวด้วย และแน่นอนว่าแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักทุ่งโปรงทองอันกว้างใหญ่ที่ว่านั้น

นายชัยรัตน์ เอื้อตระกูล นายกเทศมนตรีตำบลปากน้ำประแส จังหวัดระยอง กล่าวว่า หลังจากทุกภาคส่วนได้ช่วยกันปลูกป่าอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนเสื่อมโทรมที่เกิดจากการทำบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำให้ตอนนี้พื้นที่ปากน้ำประแสมีพื้นที่ป่าสมบูรณ์ประมาณ 600 ไร่ โดยมีคนในชุมชนช่วยกันดูแลอย่างเข้มแข็ง เพราะได้รับประโยชน์จากป่าสมบูรณ์ ทั้งการเป็นแหล่งอาหาร มีสัตว์น้ำเยอะกว่าเดิม นำมาเป็นอาหารและขายสร้างรายได้ให้ครอบครัว นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังเป็นแหล่งพักอาศัยของนกอพยพหายาก มีความหลากหลายทางชีวภาพ และดึงดูดให้คนมาท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติ ทำให้คนในชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง

“ปัจจัยสำคัญอีกอย่างของความสำเร็จในการอนุรักษ์ป่าชายเลน คือ การสนับสนุนจากภาคเอกชน ซึ่งชุมชนปากน้ำประแสเองได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัทเอกชนหลายแห่งมาโดยตลอด และที่สำคัญคือ “ความต่อเนื่อง” ตัวอย่างเช่น Dow ที่ได้เข้ามาปลูกป่าและส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในชุมชนปากน้ำประแสอย่างต่อเนื่องทุกปีเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว รวมทั้งยังช่วยสร้างแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ และทำกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น พาสื่อมวลชนมารีวิว และจัดประกวดถ่ายภาพซึ่งทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ความต่อเนื่องจึงเป็นหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จเพื่อสร้างให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืนในการอนุรักษ์”

มณีวรรณ สันหลี

แต่สำหรับจังหวัดตรัง อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวในฝั่งอันดามัน ประสบปัญหามากกว่าแค่พื้นที่ป่าชายเลนที่ลดลง นางสาวมณีวรรณ สันหลี กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิอันดามัน กล่าวว่า ที่ผ่านมาชุมชนชายฝั่งได้รับผลกระทบจากการที่มีปริมาณสัตว์น้ำลดลง เพราะการทำประมงที่ไม่เหมาะสม คนในชุมชนจึงรวมตัวกันจัดทำข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหา มีการแบ่งประเภทป่าชายเลนเป็นประเภทต่าง ๆ แบ่งพื้นที่เพื่อประโยชน์ใช้สอย และเพื่อใช้กันคลื่นลม

ชัยรัตน์ เอื้อตระกูล

“ในจังหวัดตรัง มีการกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ 4 หมู่บ้าน เน้นการ มีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ห้ามใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมายที่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำวัยอ่อนและพะยูน ห้ามตัดไม้โกงกาง และมีการอนุรักษ์พื้นที่หญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำ นอกจากนี้เครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดตรังมีการประชุมเพื่อติดตามเฝ้าระวังปัญหาในพื้นที่ชายฝั่งด้วย มีการทำข้อเสนอต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การดำเนินการเหล่านี้ทำให้จำนวนพะยูนและพื้นที่หญ้าทะเลในจังหวัดตรังเพิ่มขึ้น รวมทั้งเกิดกิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่ชุมชนบ้านน้ำราบ ช่วยสร้างงาน และกระจายรายได้ให้คนในชุมชน”

ขยาย ทองหนูนุ้ย

ด้าน นายระวี ถาวร นักวิจัยศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า (RECOFTC) กล่าวถึงการมีส่วนร่วมและผลประโยชน์ของชุมชนจากการฟื้นฟูป่าชายเลน กรณีศึกษาป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน จังหวัดตราด ว่า ชุมชนบ้านเปร็ดในมีป่าชายเลน 10,557 ไร่ มีการฟื้นฟูมาตั้งแต่ปี 2530 คนในชุมชนทำสวนผลไม้ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำตามระบบธรรมชาติ และทำประมงจับหาสัตว์น้ำ ช่วงแรกเป็น การฟื้นฟูตามธรรมชาติ และต่อมาชุมชนเข้าไปช่วยฟื้นฟูโดยได้รับการสนับสนุนจาก RECOFTC และภาคีเอกชน มีการจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์แบ่งพื้นที่ดูแลฟื้นฟูระบบนิเวศ บริหารจัดการเพิ่มจำนวนสัตว์น้ำ เช่น ธนาคารปูดำ และบ้านปลา ปลูกป่าชายเลนเพิ่ม วางแผนการจัดการป่า และร่วมมือกับพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อดูแลปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ให้พื้นที่ป่าชายเลนมีความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น มีปริมาณสัตว์น้ำ พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น อัตราการพังของชายฝั่งลดลง ช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้คนในชุมชน ลดความยากจน และเมื่อคนในชุมชนตระหนักถึงประโยชน์ที่ได้รับก็กลายเป็น Forest Watch คอยดูแลป่าและคอยแจ้งเตือนเมื่อพบเห็นสิ่งผิดปกติในพื้นที่ป่าเพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที

ระวี ถาวร

ในปี 2554-2556 โครงการ Mangroves for the Future ได้ช่วยขยายพื้นที่ฟื้นฟูสู่เครือข่ายอีก 6 ตำบล ผ่านการพัฒนา       ศูนย์การเรียนรู้ในอ่าวตราด การทำวิจัยเรื่องการฟื้นฟูป่าชายเลนจากนากุ้งร้างทำให้เกิดองค์ความรู้ในการฟื้นฟูป่าชายเลนที่ผสมผสานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาชาวบ้าน รวมทั้งมีการตั้งกองทุนป่าชุมชน…เพื่อความยั่งยืน โดยจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูจัดการป่าอย่างต่อเนื่อง มีการใช้เงินทุนซื้อนากุ้งร้างเพื่อปลูกป่าชายเลนเพิ่ม ใช้เป็นเงินสวัสดิการของคนทำงาน รวมถึงซื้อน้ำมันและซ่อมเรือรวมถึงอุปกรณ์ดูแลจัดการป่า และพัฒนาบุคลากร.

อธิชา ชื่นใจ