เมื่อวันที่ 26 ส.ค. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ตอบกระทู้ถามเรื่องความคืบหน้าในการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า สาเหตุในเบื้องต้นที่เปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการระบบตั๋วร่วมล่าช้า แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1.มีผู้ประกอบการรถไฟฟ้าหลายราย โดยรถไฟฟ้าสายสีเขียว อยู่ในการดูแลของกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 42 และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน อยู่ในการดูแลของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดให้บริการปี 47 ซึ่งในสัญญาสัมปทานของรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย ไม่ได้มีการระบุถึงการใช้ตั๋วร่วมกัน จึงต้องอาศัยเรื่องการเจรจาเป็นหลัก โดยขณะนี้การเจรจาต่างๆ ได้ผลลุล่วงเป็นอย่างดี
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า และ 2.ประเทศไทยไม่มีกฎหมาย และหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องตั๋วร่วมที่ชัดเจน ทำให้ไม่มีอำนาจที่จะไปบังคับเอกชน ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าให้เข้าใช้ระบบตั๋วร่วมได้ ทำให้ตั้งแต่ปี 55 กระทรวงคมนาคม จึงมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เริ่มโครงการศึกษาพัฒนาระบบตั๋วร่วม โดยการดำเนินการที่ผ่านมาต้องใช้เวลาเล็กน้อย ซึ่งระหว่างปี 56-58 ได้ศึกษาวางแนวทางการจัดการระบบตั๋วร่วม และจัดทำร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการตั๋วร่วม จากนั้นปี 58-60 ได้ศึกษาจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดทำรายได้กลาง และในปี 61 ได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอออก พ.ร.บ.การบริหารจัดการตั๋วร่วม แต่ปรากฏว่า ไม่ได้รับความเห็นชอบจาก ครม.
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เดือน ก.ค.62 ที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง รมว.คมนาคม ได้นโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนาตั๋วร่วมให้สำเร็จเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บัตรใบเดียว หรือใช้บัตรอะไรก็ได้ที่สามารถใช้ระบบเดียวกันได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบได้ ทั้งรถไฟฟ้า รถโดยสารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เรือโดยสาร และสายการบิน อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนรถยนต์ส่วนบุคคล เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัด และลดปัญหามลพิษด้วย
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า สำหรับความคืบหน้าเรื่องตั๋วร่วมในขณะนี้นั้น รฟม. ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย พัฒนาระบบตั๋วร่วมระบบ Europay Mastercard and Visa (EMV) โดยสามารถนำบัตรเครดิตมาใช้ชำระค่าโดยสารได้ ซึ่งผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องทำบัตรใหม่ จะช่วยลดระยะเวลาในการซื้อตั๋ว และลดต้นทุนในการบริหารจัดการตั๋วด้วย ปัจจุบันทั่วโลกได้มีการนำระบบ EMV มาใช้ในหลายประเทศ ทั้งยุโรป เอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย โดยจากข้อมูลของมาสเตอร์การ์ด พบว่า ในปี 63 ได้ใช้ระบบ EMV กับขนส่งสาธารณะใน 60 ประเทศ 240 เมือง
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ขณะนี้ รฟม. ได้เริ่มติดตั้งอุปกรณ์หัวอ่านบัตรโดยสารมาตรฐาน EMV ที่สถานีรถไฟฟ้า MRT หัวลำโพง และสถานีสนามไชย ของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินแล้ว เบื้องต้นได้ทดสอบระบบพบว่าสามารถใช้งานได้ดีมาก ทั้งนี้ รฟม. ได้กำหนดแผนว่าภายในเดือน ต.ค.นี้ จะปรับปรุงประตูจัดเก็บค่าโดยสารทุกสถานีของรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง จากนั้นภายในเดือน ม.ค.65 จะเริ่มทดลองให้บริการเฉพาะกลุ่ม และภายในเดือน เม.ย.65 จะเปิดให้บริการอย่างทางการ ประชาชนจะสามารถใช้บัตรใบเดียวเข้าระบบได้ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง สีชมพู และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดง ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะเปิดให้ประชาชนใช้บัตร EMV ได้ภายในเดือน พ.ย.นี้ ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีเขียว คงต้องเจรจากันต่อไป
นายศักดิ์สยาม กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องการพัฒนาระบบตั๋วร่วมนั้น ขณะนี้กระทรวงคมนาคมได้ใช้งบประมาณดำเนินการไปแล้ว 3 โครงการ รวม 674.1 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการศึกษาวางแนวทางการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.56 ใช้งบประมาณ 301.7 ล้านบาท 2.โครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง ดำเนินการเมื่อปี 58 ใช้งบประมาณ 337.9 ล้านบาท และ 3.โครงการจัดทำแผนการกำกับบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ดำเนินการเมื่อเดือน ส.ค. 63 ใช้งบประมาณ 34.5 ล้านบาท.