น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานภาวะสังคมไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 จากสำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ระบุถึงแนวโน้มการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นตามแนวโน้มการส่งออก โดย นายกฯ เห็นว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังทำให้แรงงานมีความเปราะบาง จึงมอบหมายให้ทุกหน่วยงานร่วมกันพิจารณามาตรการการจ้างงาน และมาตรการพยุงการจ้างงานด้วย
ทั้งนี้ในมาตรการที่จะออกมาเน้นช่วยเหลือให้แรงงานยังมีรายได้เพราะในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างน้อย 3 ปีตั้งแต่ปี 63-65 สร้างจุดเปราะบางหลายจุด เกิดทั้งผู้ว่างงาน ผู้เสมือนว่างงานคือทำงานไม่ถึง 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ที่พบว่ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงต้องมีมาตรการรองรับสำหรับผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนคือกลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่ที่มีแนวโน้มต้องใช้เวลาหางานยาวนานขึ้น
“นายกฯ ย้ำว่ารัฐบาลจะดำเนินการคือการควบคุมการแพร่ระบาดให้เร็ว พยุงการจ้างงานและดูแลรายได้ของประชาชน โดยการเร่งการใช้จ่ายภาครัฐให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้จีดีพี ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และมีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณามาตรการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการลักษณะร่วมจ่าย หรือ โค-เพย์ การดึงเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ทุกมาตรการและโครงการสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายที่โปร่งใส ปรับแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้”
นอกจากนี้ในเรื่องหนี้สินครัวเรือนนั้น นายกฯ ให้พิจารณามาตรการบรรเทาภาระหนี้สิน เนื่องจากรายงานของ สศช. ระบุให้เห็นภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดยขอให้มาตรการต่างๆ การดำเนินการอย่างระมัดระวัง เข้าถึงลูกหนี้จริง ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียทั้งต่อตัวลูกหนี้เองกับผู้ประกอบการ ไม่ให้มีการออกไปใช้หนี้นอกระบบ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ให้ผู้ประกอบการต้องขาดทุนจนเกิดผลกระทบเชิงระบบการเงินในภาพรวม