เมื่อผู้ชายเริ่มย่างเข้าอายุ 40 ปี ก็จะเริ่มพบผู้ป่วยที่มีต่อมลูกหมากโต พบว่าประมาณร้อยละ 80 จะมีต่อมลูกหมากโต อาการต่อมลูกหมากโตจะมีอาการระคายเคือง ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกลางคืน ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ และหากเป็นมากขึ้น จะเริ่มมีอาการอุดตัน เช่น ปัสสาวะต้องเบ่ง ปัสสาวะลำเล็กลง ปัสสาวะไม่สุด และอาจลงท้ายด้วยภาวะแทรก ซ้อน เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวผิดปกติ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะเล็ดราด จนถึงไตทำงานลดลง

วิธีการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต ไม่ได้ช่วยทำให้ผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตที่มีอาการอีดี สามารถมีการแข็งตัวขององคชาตเต็มที่ และถึงจุดสุดยอดได้ จึงทำให้ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวบางรายไม่สามารถร่วมเพศได้อย่างปกติ ปัจจุบันมีการศึกษาใช้ยากลุ่มพีดีอี 5 ไอ ชนิด 36 ชั่วโมง ซึ่งมีฤทธิ์อยู่ได้นานมาใช้รักษาภาวะต่อมลูกหมากโต (บีพีเอช) กับอาการอีดีได้ โดยการใช้ยาในขนาด 5 มิลลิกรัม วันละครั้ง ติดต่อกันนาน 12 สัปดาห์ ในผู้ป่วยชายที่เป็นบีพีเอช 511 ราย ในจำนวนนั้นมีผู้ที่เป็นอีดี 310 ราย ผลจากการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ได้รับยาพีดีอี 5 ไอ ชนิด 36 ชั่วโมง มีคะแนนไอไออีเอฟในข้อ 9 หมวดที่ว่าสามารถหลั่งน้ำอสุจิได้เพิ่มขึ้น ไอไออีเอฟข้อที่ 10 หมวดที่ว่าสามารถถึงจุดสุดยอดได้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว ยากลุ่มพีดีอี 5 ไอ ชนิด 36 ชั่วโมง ทำให้องคชาตแข็งตัวเต็มที่ สามารถร่วมเพศได้อย่างปกติ

จากการศึกษาจึงเห็นว่ายากลุ่มพีดีอี 5 ไอ ชนิด 36 ชั่วโมง สามารถรักษาอาการต่อมลูกหมากโตได้ พร้อมกับทำให้ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวที่มีอาการอีดี สามารถหลั่งน้ำอสุจิและถึงจุดสุดยอดได้ รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ องคชาตแข็งตัวและมีความสุข พึงพอใจดีขึ้นมากทั้งหมด ปัจจุบันยากลุ่มนี้ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาภาวะต่อมลูกหมากโต (บีพีเอช) กับองคชาตอ่อนตัวหรืออีดีแล้ว ยากลุ่มพีดีอี 5 ไอ ชนิด 36 ชั่วโมง สามารถช่วยฟื้นฟูอาการอีดี ในผู้ป่วยที่มีภาวะต่อมลูกหมากโตได้เป็นอย่างดี

——————
ดร. อุ๋มอิ๋ม