เพิ่งออกมาร้องไห้ผ่านสื่อไปหมาดๆ ว่าเจอมรสุมชีวิตหนักเหลือเกิน ธุรกิจอาหารที่ทำอยู่ก็ประสบปัญหาเพราะโควิดมาเยือน ไหนจะลูกน้องที่ต้องแบกดูแล ไหนจะครอบครัวและงานในวงการก็ไม่มี สำหรับนักแสดงคนดัง ธงธง ม๊กจก งานนี้เจ้าตัวเลยบอกคิดว่าตนเองอาจจะเป็นซึมเศร้า ทำให้หลายคนพูดถึงกรณีของธงธงหนักมาก ล่าสุดเจ้าตัวไปเล่าเรื่องราวนี้ผ่านรายการคุยแซ่บ Show โดยบอกว่าไม่ได้หิวแสงแน่นอนที่ออกมาร้องไห้ออกสื่อแบบนั้น

ธงธง เผยว่า “เรื่องที่ร้องไห้ออกมาสื่อตอนนั้นคือนักข่าวเขาต้องโทรฯ มาสัมภาษณ์ใครที่เป็นเจ้าของกิจการแล้วประสบปัญหาโควิด พอประสบปัญหาแล้วมันเป็นยังไง แล้วที่พี่ปล่อยโฮร้องไห้ เพราะว่าที่ร้านมันมีปัญหาจริง แต่ที่ร้องไห้เสียใจหนักๆ เลย คือลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมาก็เหมือนคนในครอบครัว แล้ววันนึงที่มันไปต่อไม่ได้ เพราะว่าที่โคราชเริ่มเป็นพื้นที่สีแดง งดทานอาหารในร้านแล้ว จำเป็นต้องเอาใครสักคนออก 10 คนนี้ออกสัก 3 แบกไม่ไหวจริงๆ เพราะว่าค่าใช้จ่ายตกเดือนละเกือบ 2 แสน มันไม่ไหว อย่าลืมว่าก๋วยเตี๋ยวเนี่ยเวลากินต้องกินร้อนๆ คนสั่งกลับบ้านน้อย ปกติจะขายได้วันละ 500 ชาม พีคๆ นะ เดี๋ยวนี้ 50 ชามให้ถึงเถอะ พี่ก็เลยจำเป็นที่จะต้องทำยังไง บริหารจัดการ เราก็เลยมาประชุมกับครอบครัวเราว่าเราจะปลดพนักงาน 3 คน ในขณะที่ประชุม เรียกพนักงานมา เรารู้จักเขา แล้วเห็นว่าเขาทำงานดี ทุกคนดีเหมือนคนในครอบครัว พอพูดว่าจะปลดมันร้องไห้ เราก็ร้อง มันก็เลยอัดอั้นตันใจ ตอนที่พูดว่า เห้ย…พี่ต้องปลดแหละ พอให้สัมภาษณ์มันก็ยังอินอยู่ ก็เลยเผลอหลุดร้องไห้ออกมา”

“เรื่องหิวแสงที่คนด่าพี่ บอกเลยพี่เป็นคนในแสง ถ้าแสงมากกว่านี้หน้าเป็นฟ้าแล้ว เอาจริงๆ สิ่งที่กลัวคือกลัวลูกหลานก็บอกว่าทำไมไม่สตรองกว่านี้ แต่เราตกลงกันแล้วว่าวันนี้เราอยู่บนเรือลำเดียวกัน ถ้ารอดเราต้องรอดด้วยกัน วันนี้เรือจะล่มแล้ว กระโดดลงน้ำไป 3 คน เขาว่ายน้ำไปได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้ แข็งขนาดไหนเดี๋ยวก็ตาย ไม่ไหวขึ้นมา อีกคนกระโดดลง แม้แต่เจ้าของร้านยังต้องกระโดดลงน้ำเลยเพื่อพยุงเรือลำนี้ให้มันอยู่รอด แต่สิ่งหนึ่งที่มีความรู้สึกว่าข่าวนี้ออกไปมันมีข้อดีอยู่อย่างนึง คือต้องบอกว่า ร้านธงธงลงเรือ เราบริหารจัดการ กำไรส่วนหนึ่งเราแบ่งปันผลให้กับการทำบุญอยู่แล้ว เมื่อโควิดปีที่แล้ว เราได้แจกข้าวสาร อาหารกล่อง ตามที่ชุมชนต่างๆ ก่อนหน้านี้น้ำท่วมเราก็ไปแจก คนเหล่านี้พอข่าวออกไปต้องขอบคุณมากจริงๆ มาช่วย ทุกคนก็แบบว่าเหมือนเรามาช่วยเขา ทำให้ยอดมันกระเตื้องขึ้น เราอยู่ได้ ถ้ามันเป็นอย่างนี้เราอยู่ได้ คนโคราชไม่ทิ้งกัน”

ธงธง เล่าต่อว่า “ส่วนเรื่องโรคซึมเศร้า ตอนแรกพี่ก็สงสัยว่าพี่เป็นซึมเศร้าหรือเปล่า แต่เมื่อวันแม่ที่ผ่านมา พี่ก็รับทำปิ่นโตบอกรักแม่ กระแสตอบรับดีมาก คนสั่งออร์เดอร์วันที่ 12 เยอะมาก ก็ต้องทำกับข้าวเอง 2 คนกับแม่บ้าน จัดพวงมาลัย จัดทุกอย่างแล้ว เหลือทำกับข้าวต้องส่งมันกดดัน หลายที่มาก พอมันเร่งมากงงตัวเอง พี่ก็ตบหน้าตัวเอง ตบจนเจ็บ แต่ภาพที่มันย้อนกลับมาตอนนั้นยังร้องไห้ เนื่องจากว่าให้สัมภาษณ์เรื่องของเด็กที่ร้าน มันก็เลยเหมือนกับว่าพี่ป่วย จริงๆ เราแค่สงสัยว่าเราเป็นหรือเปล่า เราก็ปรึกษามยุรินว่าพี่เป็นไหม เขาบอกพี่ธงแก่ พี่ธงคือวัยทองอาการมันเป็นอย่างนี้ แต่พี่ไม่ได้ทำร้ายตัวเอง ที่พี่ตบ ตอนนั้นคือมันงง เพราะมันเร่ง แต่จริงๆ ไม่ถึงขนาดทำร้ายตัวเอง ถามว่าต้องไปหาหมอไหม ยังอยู่ในขั้นตอนการปรึกษาเพื่อน อาการมันไม่ได้พัฒนาอะไร แค่งงๆ เตือนสติ เรียกสติ”

“ที่คิดหนักเพราะพี่ต้องดูแลแม่และพี่ชายด้วย แม่ก็เป็นผู้ป่วยติดเตียง อายุ 90 แล้วพี่ชายก็เป็นผู้ป่วยติดเตียง เป็นเบาหวานกันทั้งบ้าน  แม่ติดเตียงมาประมาณ 5-6 ปี พี่ชายเพิ่งจะเป็นมา 1-2 ปีนี้ ค่าใช้จ่ายแม่เนี่ย ไหนจะค่าคนดูแล ไหนจะค่าแพมเพิส ค่ายา แล้วมีให้อาหารทางสายยางอีก เพราะฉะนั้นอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นเงินหมด แต่พี่ชายพอจะกินข้าวได้ บ้านและรถมีผ่อนอยู่เลย พี่บอกเลยว่าค่าใช้จ่ายจริงๆ เฉพาะส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับร้านนะ แสนห้าต่อเดือน ร้านก็เหลือประมาณแสนกว่าบาทแล้ว วันนี้สู้เพื่อแม่ บอกเลยทำความดีในทุกๆ วัน เราชอบที่จะทำความดีเยอะๆ ถ้าวันนึงเราตาย เราไม่กลัวเรื่องความตาย ตายได้เลย แต่คราวนี้มันตายไม่ได้ เคยเกิดอาการเหมือนจะตายครั้งนึง แล้วนึกขึ้นได้ว่าแม่อยู่ยังไง ตายไม่ได้ ลุกขึ้นมาใหม่ มันห่วงคือแม่ ตอนนี้กำลังใจอยู่ที่แม่อย่างเดียว วันนึงขอให้ได้เห็นหน้าแม่ ได้ส่งแม่ก่อน การตักบาตรก็พยุงแม่มาตักทุกวัน ถ้าแม่จะตาย แม่ต้องเอาบุญไปเยอะๆ แล้วค่อยตายจากหนูนะ”