หลังจาก Avatar ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำทั้่งเรื่องด้วย CGI ถูกฉายในโรงภาพยนตร์ เมื่อเดือนธันวาคมปี 2009 ก็สามารถทำรายได้ไปทั่วโลกมากกว่า 2,833 ล้านดอลลาร์ ขึ้นแท่นหนังทำรายได้อันดับ 1 ของโลก เรียกว่าประสบความสำเร็จสูงสุดจากทุนสร้างเพียง 237 ล้านดอลลาร์ เวลาผ่านไปกว่า 10 ปี “เจมส์ แคเมรอน” ก็ได้ประกาศสร้างพิมพ์เขียวทันที 4 ภาค ได้แก่ AVATAR : THE WAY OF WATER (ฉายเดือนธันวาคม 2022), AVATAR : THE SEED BEARER (ฉายเดือนธันวาคม 2024), AVATAR : THE TULKUN RIDER (ฉายเดือนธันวาคม 2026) และ AVATAR : QUEST FOR EYWA (ฉายเดือนธันวาคม 2028) เนื้อหาของเรื่องราวจะเป็นการโชว์ให้เห็นพื้นที่ต่าง ๆ ของดาว “แพนดาร่า” พร้อมการผจญภัยไปกับเหล่า “ชาวนาวี” เผาพันธุ์มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้

เรื่องย่อ AVATAR : THE WAY OF WATER หลังจากอดีตนาวิกโยธิน “เจค ซัลลี” (รับบทโดยแซม เวิร์ธธิงตัน) ย้ายร่างตัวเองเข้าไปอยู่ในร่าง “อวตาร” (ร่างของชาวนาวีตัดต่อพันธุกรรมร่วมกับมนุษย์) แบบถาวร เขาก็ได้ตำแหน่งหัวหน้าเผ่า พร้อมกับสร้างครอบครัวร่วมกับ “เนย์ทีรี” (รับบทโดย โซอี ซัลดานา) ภรรยาสาวชาวนาวี มีลูกชายหญิงที่น่ารักมากมาย ได้แก่ นาทายัม พี่ชายคนโต, โลอัค น้องชายคนกลาง, ตุกทีรี น้องสาวคนสุดท้อง รวมทั้งลูกบุญธรรมครึ่งคนครึ่งอวตารอย่าง คิริ และ สไปเดอร์ เด็กมนุษย์แปลกแยกผู้ใช้ชีวิตเยี่ยงชาวนาวี เรื่องราวดูเหมือนจะราบรื่นแต่กลับปรากฏว่า มนุษย์โลกเจ้าเก่ายังคงใฝ่ฝันที่จะครอบครองดาวดวงนี้ให้ได้ เรื่องราวของครอบครัวหัวหน้าเผ่าอย่าง “เจค ซัลลี” จะเป็นอย่างไรสามารถติดตามกันได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

ความโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ การันตีงานภาพ วิชวลเอฟเฟกต์ ที่เนรมิตออกมาได้งดงามเกินกว่าที่หลายคนจะคาดการณ์เอาไว้ เรียกว่าเป็นอีกซีกโลกหนึ่งของดาวแพนดอร่าที่มีสิ่งมีชีวิตตามระบบนิเวศของตัวเอง (ไม่ขอเล่าต่อเดี๋ยวกลายเป็นสปอยล์….) สำหรับโปรดักชั่นที่น่าสนใจในภาคนี้ มีการถ่ายทำด้วยเทคโนโลยี High Frame Rate (HFR) สร้างสตูดิโอ (The Volume) เพื่อถ่ายฉากบนบก และสร้างสระน้ำขนาดใหญ่เพื่อใช้ถ่ายทำใต้น้ำ ใช้กล้องถ่ายนับร้อยตัวเพื่อคัดเลือกเอาภาพที่ดีที่สุดมาใช้ รวมไปถึงให้นักแสดงทุกคนต้องฝึกการดำน้ำโดยไม่พึ่งอุปกรณ์ช่วยหายใจ (Free Dive) ล่าสุดมีข่าวว่า นักแสดงตัวหลัก “เคต วินสเล็ต” ทำลายสถิติ Free Dive หลังจากเธอสามารถกลั้นหายใจเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ได้นานกว่า 7 นาที 14 วินาที มากกว่า สถิติ 6 นาที 30 วินาที ของ ทอมครูซ ในหนัง Mission: Impossible – Rogue Nation ไปแล้ว

นอกเหนือการฉากสวย โปรดักชั่นเยี่ยม บทภาพยนตร์ก็ท้าทายด้วย โดย “เจมส์ แคเมรอน” ได้นำเอา “สตีเฟ่น แลง” ผู้เคยรับบทผู้พันจอมโหดในภาคแรก กลับมาอยู่ในร่างของชาวนาวี “มาร์ควอริช” เพื่อสางแค้น 10 ปี รวมถึงดึงเอา “ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์” นักแสดงสาววัย 73 ปี ผู้เคยรับบท “เกรซ ออกกัสทีน” สาวนักวิทยาศาตร์ปากแจ๋วในภาคแรก กลับมารับบทเป็น “คิริ” สาวลูกครึ่งนาวีวัย 14 ปี ซึ่งถือเป็นการท้าทายความสามารถของทั้งสองนักแสดงเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของพล็อตเรื่องความดราม่า หนังเรื่องนี้ยังมีจุดอ่อนที่น่าเสียดาย คือไปเน้นปัญหาครอบครัวจนมากเกินไป สร้างปมปัญหาความขัดแย้งเอาไว้เพียบ แต่ท้ายที่สุดผู้ชมสามารถเดาทางออกได้ไม่ยาก ตามแบบฉบับหนังบล็อกบัสเตอร์.

5/5 กะโหลก แม้จะมีจุดอ่อนของความดราม่าครอบครัวที่ดูยุ่งเหยิง สร้างปมเอาไว้เพียบ หวังจะให้ผู้ชมอิน และลุ้นไปกับเนื้อหาของเรื่องซึ่งเดาทิศทางได้ไม่ยาก แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ยังไม่สามารถตัดคะแนนของภาพที่ดูงดงาม สมการรอคอยกว่า 10 ปีนี้ได้ ภาพในช่วงสงครามมีฉากโหดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับสยอดสยอง สามารถชมได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ที่แน่ ๆ อย่าลืมเข้าห้องน้ำก่อนเพราะหนังนานมาก 3 ชั่วโมง 10 นาที

—————————————–

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน
ขอบคุณข้อมูล ภาพ จากเว็บไซต์ Youtube และ 20th Century Studios Thailand