ตอนนี้ก็เรียกว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้ว ดูจากการที่ ส.ส.ย้ายพรรคกันวุ่นวาย สิ่งที่เป็นที่จับตามากที่สุดคือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม จะไปอยู่ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จริงหรือไม่ แล้วทำไมถึงต้องไปพรรคนั้น ทั้งที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็มีพี่ป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ว่ารักกันนักหนาเป็นหัวหน้าพรรค และก็มีข่าวว่า บิ๊กป้อมเองก็พูดๆ ว่า ถ้าบิ๊กตู่อยากเป็นนายกฯ ก็ให้เป็น (แม้ว่าตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นได้อีกแค่ 2 ปี) แถมลูกหาบพรรคบางคนยังชูสโลแกนหมดตู่ชูป้อม

ก็เป็นเรื่องที่ต่อไป เวลาคงให้คำตอบได้ว่า ทำไมน้องตู่ถึงหนีพี่ป้อมไป จะไปแบบแยกกันตีถึงเวลารวมกัน ก็ดูไม่ค่อยฉลาด เพราะมันเหมือนแย่งฐานเสียงกันเอง (และไปแย่งของประชาธิปัตย์ซะอีก) แต่นักวิเคราะห์ทางการเมืองบางคนว่าไว้ว่า การเมืองเรื่องผลประโยชน์ มันต้องมีอะไรที่แบ่งกันไม่ลงตัวสักอย่าง หรือไม่ก็มีฝั่งไหนได้รับข้อเสนอ, เงื่อนไขที่ดีกว่า จึงแตกตัวกันไป..ไอ้ที่ว่ารักกันนักรักกันหนา สุดท้ายก็รักอัตตาและผลประโยชน์แห่งตนก่อนเป็นอันดับแรกทั้งนั้น การเมืองเรื่องของผลประโยชน์ ตีกันจะเป็นจะตาย วันนึงคุยกันลงตัวก็ย้ายค่ายเฉย

เอาแล้วไง 'บิ๊กป้อม' ลั่นกลางสภาฯผมไม่เกี่ยวรัฐประหาร ชี้ตัว 'บิ๊กตู่'  ทำคนเดียว

สิ่งที่น่าสนใจลำดับต่อมาคือ ความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจากกระแสข่าวที่ออกมาหลายครั้ง ดูเหมือนว่า คณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ทำเละไปหมด ส.ส. อดีต ส.ส. แห่ย้ายออก ทั้งจากเหตุถูกดูดและเหตุไม่พอใจกรรมการบริหารพรรคที่ว่ากันว่าเอาแต่พวกตัวเอง ล่าสุด นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรังหลายสมัย ออกมาแสดงความไม่พอใจพรรค เรื่องที่จะไม่ให้นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล ส.ส.ตรังหลายสมัย เลขาธิการประธานรัฐสภา ลงสมัคร ส.ส.ตรัง โดยอ้างต้องทำโพลสำรวจความนิยมก่อน โดยนายสาทิตย์บอกว่า ไปสอบถามคนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคจะได้อะไร

พร้อมทั้งย้อนว่า พวกทำโพลนี่ กระบวนการถูกต้องโปร่งใสหรือไม่ ระวังจะมีข้อครหามาถึงพรรค แถมเหน็บแนมให้อีกว่า ทำโพลสำรวจความนิยมคนอื่น อีคนทำเนี่ยจะสอบได้หรือสอบตกก็ไม่รู้ ซึ่งเรื่องนี้นายสาทิตย์ระบุว่า นายชวน หลีกภัย ผู้อาวุโสที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปัตย์ทราบแล้ว และพยายามเคลียร์ปัญหา แต่พวก “คนชอบโพล” ไม่ยอมฟังยังจะเดินหน้าทำโพล ..ซึ่งถ้าเอาไปถามคณะกรรมการบริหารพรรค ก็คงได้รับคำตอบว่า “พรรคเรามีกระบวนการเป็นประชาธิปไตย เรื่องคนเข้าออกก็เป็นเรื่องปกติของการเมืองช่วงใกล้เลือกตั้ง บลาๆๆ” ไม่น่าจะเกินนี้ แต่สภาพของพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้เรียกว่า “อยู่ในระยะอันตราย”  เลือดเก่าที่เป็นระดับบ้านใหญ่ย้ายออกไปก็มี เช่น ตระกูลธรรมเพชรของพัทลุง หรือขนาดผู้ใหญ่พรรคระดับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่รู้อนาคตตัวเองในพรรค

ก็ไม่รู้ว่า เลือกตั้งเที่ยวนี้พรรคประชาธิปัตย์จะเหลือ ส.ส.กี่คน ยิ่งพรรคอื่นรุมทึ้งภาคใต้หนักด้วย เนื่องจากเหนือกับอีสานตอนบนนั้น เพื่อไทยมั่นใจฐานเสียงเขา อีสานล่างภูมิใจไทยก็มั่นใจฐานเสียงเขา พรรคเกิดใหม่ (น่าจะยกเว้นไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์) จะเจาะยางใต้หมดเลย ส่วน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีพรรคประชาชาติที่มีฐานเสียงอยู่ในพื้นที่ ..ในสภาพพรรคแตก ผู้บริหารกับลูกพรรคไม่ลงรอยกันแบบนี้ ก็มีโอกาสที่เลือดยังไหลออกไม่หยุดอีก ถ้าปัญหามาจากเรื่องทำโพลตามที่นายสาทิตย์ว่า ก็ไปเคลียร์กันในพรรคก่อนก็ดี

อย่างไรก็ตาม เรื่องการเมืองก็เรื่องหนึ่ง ที่เราก็เห็นท่าทีอะไรหลายอย่างพอสมควรแล้ว รอวัดผลกันในคูหาเลือกตั้ง แต่สิ่งที่หลายคนอยากให้พรรคการเมืองเสนอทำเป็นนโยบาย ก็มีหลายเรื่อง ทั้ง ด้านกฎหมาย ด้านสวัสดิการ

ด้านสวัสดิการนั้น แน่นอนว่า ต่างก็หวัง “การมีรายได้อย่างสม่ำเสมอและเพียงพอต่อการใช้ชีวิต” ซึ่งจะไปสัญญามั่วซั่วว่า ป.ตรีเงินเดือนสตาร์ตเท่านี้ๆ คงไม่ได้ เพราะเท่ากับไปบีบให้เอกชนต้องเพิ่มค่าแรง ผลคือจะดันไปลดการจ้างงานเอาเสียดื้อๆ ดังนั้นทำได้แค่ขอความร่วมมือ และเลือกส่งเสริมการศึกษาที่ตรงกับสายอาชีพที่ขาดแคลน บางอาชีพไม่ต้องเรียนสูงแต่หัดทักษะให้เป็นก็อยู่ได้ อย่างไปเรียนนวดแผนโบราณวัดโพธิ์ ให้กรมส่งเสริมบริการสุขภาพ (สบส.) ออกใบรับรองให้ ก็เป็นทักษะที่ต้องการในต่างประเทศ ที่กระทรวงแรงงานหางานให้ได้

การแก้ปัญหาเรื่องคนไม่มีเงินออม ก็สำคัญ อยากเห็นพรรคการเมืองออกแบบนโยบายที่จูงใจให้คนออมเงินหรือไม่ก็มีกุศโลบายบางอย่างให้มีการผันเงินมาเป็นเงินออม อย่างเลือกตั้งปี 62 ก็เห็นมีบางพรรคเสนอนโยบายลอตเตอรี่เงินออม ..แนวๆ ว่า คนไทยชอบซื้อหวยอยู่แล้ว ถ้าซื้อหวยรัฐแล้วถูกกิน ก็จะกันเงินค่าหวยไว้ส่วนหนึ่งเป็นเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ ยิ่งตอนนี้ซื้อหวยผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตังค์” ได้ ก็ยิ่งทำฐานข้อมูลการซื้อหวยและการออมได้ง่าย

การมีเงินออมจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินได้อีกทาง เห็น พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ว่าบิ๊กตู่จะไปอยู่ จะมีนโยบาย “กองทุนสร้างชาติ” เพื่อช่วยคนเป็นหนี้ ธ.ก.ส. หนี้นอกระบบ อะไรแนวๆ นี้ แต่อย่าลืมด้วยว่า มนุษย์เงินเดือนชนชั้นกลางนี่แหละ เป็นพวกหาเงินส่งเข้าระบบภาษีจำนวนมาก ดังนั้นสวัสดิการอะไรก็ต้องคิดเผื่อคนกลุ่มนี้ด้วย ไม่ใช่เอะอะก็เอาใจแต่รากหญ้า ..ไม่รู้ว่ากองทุนนี้จะใช้เงินอย่างไร แต่ถ้าให้กู้ ระวังถึงจุดหนึ่งลูกหนี้จะชักดาบ อ้างเศรษฐกิจไม่ดี หรืออ้าง ฯลฯ คนเรามีเหตุผลในการเหนียวหนี้ทั้งนั้น ถึงขั้นมีอยู่ช่วงที่ กยศ. ต้องออกมาตรการเก็บหนี้เด็ดขาด

พูดก็พูดเถอะว่า นโยบายอะไรที่เอาใจพวกคนในเมือง มนุษย์เงินเดือน มันค่อนข้างน้อย ก็แล้วแต่จะคิดกัน พรรคการเมืองอาจอ้างว่า “ต้องทำให้เกิดความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำโดยการช่วยคนจนก่อน” ก็ได้ และบอกว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยประกอบอาชีพเกษตรกรก็ต้องช่วย ก็ไม่ผิดอีก ..แต่เชื่อเถอะว่า มนุษย์เงินเดือน ชนชั้นกลางในเมือง เป็นพวกที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียมากที่สุด นโยบายอะไรโดนใจเขาจะช่วยกันชม ช่วยกันแชร์ ดูอย่างของพรรคก้าวไกลก็คงจะเห็น ที่ชูจุดขายเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็ได้พวกชนชั้นกลางในเมืองแหละช่วยแชร์ ช่วยบอกญาติๆ ต่างจังหวัดให้สนับสนุน แม้แต่เพื่อไทยเองตอนหลังก็เริ่มมาจับเรื่องนโยบายสิทธิมนุษยชน เช่นเรื่องกลุ่มหลากหลายทางเพศมากขึ้น

สิ่งที่หลายคนต้องการในเรื่องสวัสดิการ คือเงินอุดหนุนในกลุ่มที่หารายได้เองไม่ได้หรือมีความจำเป็นเฉพาะ เช่น แม่มีลูกเล็ก ซึ่งก็หวังกันว่า จะมีเงินอุดหนุนเด็กตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึงระดับเข้าอนุบาล เพื่อผ่อนภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว เพิ่มสิทธิในการลาคลอด และก็เงินผู้สูงอายุ ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยยกเรื่องนี้เป็นประเด็นหลัก ล้อไปกับสภาพของโลกปัจจุบันที่หลายประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คืออัตราการเกิดต่ำ คนพ้นวัยทำงานเพิ่มขึ้น

ได้คุยๆ กับบางคนเรื่องความต้องการทางด้านกฎหมาย อยากได้อะไรบ้าง? หลายเสียงบอกตรงกันว่า คนไทยเป็นชาติที่ชอบคิดแบบศรีธนญชัย คือฉลาดแกมโกงได้เป็นเรื่องดี แนวๆ เลี่ยงบาลีหรือกฎมีไว้แหก พอถามว่า แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร คนที่เขาอยากให้ใช้ไม้แรง ก็คือ “การเพิ่มโทษในกฎหมายกรณีไม่มีวินัยหรือไม่รับผิดชอบ”

ตัวอย่างเช่น การไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย หรือการเมาแล้วขับ อยากให้เปลี่ยนโทษเป็น พยายามฆ่า เพราะย่อมรู้ถึงผลแห่งการกระทำตัวเองอยู่แล้วว่ามันทำให้เกิดอุบัติเหตุได้  ไม่ใช้ไม้แรงก็มักง่ายกันเรื่อยไป ..หรือ คิดหาวิธีการดำเนินคดีกับเยาวชนแบบผู้ใหญ่ ในคดีประเภทวิวาท ทำร้ายร่างกาย  อย่างเด็กช่างตีกันแย่งหัวเข็มขัด สก๊อยตบตีกัน ทำร้ายกันแล้วถ่ายคลิปเผยแพร่ตั้งใจประจานอีกฝ่ายให้อับอาย ..คนคิดแบบนี้บอกแนวๆ ว่า ให้รู้รสตะรางแต่เด็กเสียบ้างเผื่อช่วยดัดนิสัย และที่สำคัญคือ ให้ผู้ปกครองเยาวชนเหล่านั้นมีความผิดด้วย

เรื่องให้ผู้ปกครองหรือญาติพี่น้องมีความผิด มันน่าจะเรียกว่าเข้าข่ายเป็น “ชั่วโคตร” คือคนนึงทำ คนอื่นในตระกูลโดนด้วย แต่ก็มีคนอยากให้นำมาใช้เพื่อเป็นการบีบให้ผู้กระทำผิดมายอมรับโทษ ตัวอย่างเช่น กรณีไฮโซขับรถชนตำรวจ แล้วเลื่อนขึ้นศาลไปเรื่อยๆ ปัจจุบันหาตัวไม่เจอแล้ว ขณะที่พี่น้องพ่อแม่เขาก็ยังเป็นไฮโซออกงานสังคมตามปกติ แบบดูเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมาก..คดีนี้ถูกวิพากษ์ว่ามีมิติเรื่องชนชั้นเข้ามาเกี่ยว ถ้าคุณเป็นคนชั้นสูง มีเงิน มีหน้ามีตา การปฏิบัติต่อคุณก็เหนือกว่าชาวบ้าน ..จำได้หรือไม่ว่า ไฮโซรายนี้เลื่อนขึ้นศาลมากี่รอบ? ลองเป็นม็อบสามกีบเห็นทีเลื่อนขึ้นศาลน่าจะโดนหมายจับ แถมขอประกันยังยาก.. ซึ่งแล้วแต่ว่าใครจะเชื่อว่าครอบครัวเขาไม่ติดต่อกันแล้วเลยหาตัวไม่พบ ลองมีกฎหมายที่ให้เข้าลักษณะครอบครัวไม่ช่วยหา ถือว่า “สมรู้ร่วมคิดให้หลบหนี” คงตามกลับมาได้

กฎหมายอีกอย่างหนึ่งที่คนอยากให้มีคือ กฎหมายในการคานอำนาจองค์กรตรวจสอบ อย่าให้องค์กรไหนเป็น “ซูเปอร์องค์กร” ที่ชี้ขาดอะไรวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ..คนเก่งก็ยังรู้พลาดได้ ไปจนถึงกระทั่งองค์กรตรวจสอบหรือแก้ไขข้อพิพาทก็มีโอกาสที่มีเรื่องผลประโยชน์มาแทรกแซงได้ ดังนั้นน่าจะมีช่องทางอะไรในการตรวจสอบองค์กรฝั่งตุลาการ ที่ไม่ใช่ให้ตรวจสอบกันเอง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาช่วยพวกพ้อง หรือกระทั่งใน วงการตำรวจ ทหาร ก็เช่นกัน ที่มีปัญหาเรื่องรุ่น เรื่องพวกพ้อง เรื่องความปกปิดเป็นแดนสนธยาคนนอกห้ามรู้อยู่  ก็ต้องทำให้โปร่งใสมากขึ้น

เอาจริงก็มีหลายเรื่องที่น่าเสนอเกี่ยวกับกฎหมาย แต่ดูไปดูมา ถ้าคนมีวินัย ซื่อสัตย์สุจริต มีความเท่าเทียมกัน การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรหรอกกระมัง

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”