ฮือฮาจนกลายเป็นกระแสในโลกโซเชียล หลังจาก “สาวไทยคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1” ในการ “แข่งขันทำเค้กรายการระดับโลก” ที่ถือเป็นอีกหนึ่ง “คนไทยเก่ง” ซึ่งช่วย “สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย” ที่วันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปย้อนเส้นทางชีวิตสาวไทยคนเก่งคนนี้ จะพาไปทำความรู้จักกับเธอ… “ฝ้าย-พรประภา แสงเลิศ”

“ฝ้าย พรประภา” สาวเก่งคนนี้ เธอได้รับ รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จากรายการแข่งขัน Cake Star International Competition โดยเธอชนะใน หมวด Sculpture Figure หรือ “การปั้นโมเดลจากน้ำตาล” ซึ่งสาขาดังกล่าว มีตัวแทนแต่ละประเทศส่งเข้าแข่งขันมากถึง 150 ประเทศ โดยเธอต้องแข่งกับผู้เข้าแข่งขันกว่า 500 คน แต่เธอก็ฝ่าด่านมาได้ จนได้รับรางวัลชนะเลิศ และได้มีการนำข่าวดีเรื่องนี้ เผยแพร่ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ จนมีชาวโลกออนไลน์เข้ามาชื่นชมความสามารถของเธอแบบล้นหลาม โดยเฉพาะ “คนภูเก็ต” ที่เป็นจังหวัดบ้านเกิดของเธอ

เจ้าของเรื่องราวนี้เล่าว่า ปัจจุบันเธออายุ 28 ปี เป็นลูกของ คุณพ่อบุญช่วย กับ คุณแม่ฉันทนา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่มีลูก 4 คน โดยเธอเป็นลูกคนที่ 2 ทั้งนี้ หลังเธอเรียนจบชั้น ม.6 ที่โรงเรียนกะทู้วิทยา จ.ภูเก็ต ก็ได้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี สาขาวิชาเอกการท่องเที่ยวและโรงแรม แต่เธอเรียนไม่จบ โดยเธอได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า สมัยเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่รู้ตัวว่าชอบหรืออยากเรียนอะไร ไม่รู้กระทั่งอนาคตอยากทำอะไร หรืออาชีพในฝันคืออะไร เพราะไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือถนัดอะไรกันแน่ ดังนั้นเมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เธอจึงเรียนสายวิทย์-คณิต ตามเพื่อน ๆ แต่เมื่อเรียนไปแล้ว กลับพบว่าไม่ใช่ทางของตัวเอง แต่ก็สู้เรียนจบมาได้ จนถึงวันที่ต้องเลือกสายเข้าสู่มหาวิทยาลัย…

“ตอนนั้นมีโควตาของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือโควตาคณะคหกรรมศาสตร์ เราจึงนำคะแนนไปยื่นสอบ และสอบติดคณะนี้ แต่ก็ต้องไปคุยกับคุณแม่ก่อน โดยคุณแม่เป็นคนส่งเสียเราตลอด หลังจากที่คุณแม่เลิกกับคุณพ่อ ปรากฏว่าคุณแม่ไม่อนุญาต เพราะมีอคติว่างานในครัวมันเหนื่อย มันร้อน ไม่ได้เจอคน ไม่ได้เจอแสงสี ไม่ได้ใช้ภาษา ไม่ได้แต่งตัวสวย ๆ จึงไม่ให้เราเรียน พร้อมกับยื่นคำขาดว่า ถ้ายังดื้อที่จะเรียนทางนี้ก็ตัดแม่ตัดลูกกันไปเลย  ซึ่งตอนนั้นเราอยู่ในช่วงวัยรุ่นเนอะ ก็ดื้อกับแม่นิดหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยื้อไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้เงินค่าขนม สุดท้ายก็ไปสอบเข้าเรียนท่องเที่ยวและการโรงแรมตามที่คุณแม่ต้องการ” เป็นเรื่องราวชีวิตในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเธอ

กับรางวัลชนะเลิศ Cake Star International Competition

ฝ้ายเล่าอีกว่า พอเรียนแล้วก็รู้สึกว่าไม่ใช่ทางของตัวเอง จึงดร็อปเรียน และต่อมาเธอมีแฟน มีลูกชาย 1 คน พอลูกอายุ 9 เดือน เธอกับแฟนก็เลิกรากันจากปัญหามือที่ 3 โดยพ่อของลูกไม่ได้ส่งเสียค่าเลี้ยงดู ซึ่งในเมื่อชีวิตไม่มีทางเลือก เพราะลูกยังเล็กและต้องกินนม จึงต้องสู้ชีวิตด้วยการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพและเลี้ยงลูกเพื่อความอยู่รอด โดยใช้ชีวิตเป็น Single Mom

เธอเล่าต่อไปว่า ชีวิตช่วงนั้น ตอนเช้ารับซาลาเปามาขาย ตอนสายก็เอาเสื้อผ้ามือสองไปขาย โดยไปรับผ้ามือสองที่เขาเปิดกระสอบมาซักให้สะอาด แล้วนำไปแขวนขายข้างถนน จนเมื่อลูกอายุได้ 2 ขวบ ก็ไปสมัครทำงานโรงแรม ต่อมาบังเอิญได้เจอเฟซบุ๊ก ไปพบโพสต์จากสมาชิกในกลุ่มทำ “เค้ก” ซึ่งได้ข้อมูลสูตรทำเค้กกับทำขนม และประสบการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เธอตัดสินใจว่า “อยากทำขนมขาย” แต่ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นทันทีคือ การไม่มีความรู้และเงินทุน เธอจึงตัดสินใจไปคุยกับคุณแม่ แม้ว่าท่านจะแอนตี้เรื่องทำขนม แต่ที่สุดก็เป็นคนจัดหาเตาอบเล็ก ๆ และเครื่องตีขนมมาให้เธอฝึกทำขนมด้วยตัวเอง เรียกว่าตอนนั้นทำขนมไปด้วยและทำงานไปด้วย จนได้พบกับสามีคนปัจจุบันที่เป็นชาวเบลเยียม

กับรางวัลสนามแรก รองชนะเลิศอันดับ 1

“แฟนคนปัจจุบันเขาเห็นเราชอบทำขนม เขาก็บอกว่ามันสามารถต่อยอดได้อีก เดี๋ยวเขาจะเป็นคนสนับสนุนเอง แล้วเขาก็สนับสนุนทุกอย่างจริง ๆ ทุกวันนี้เขาก็ยังสนับสนุนอยู่ และเป็นคนออกค่าเรียน และพาไปเรียนด้วย เขาบอกเราว่า ต่อให้เป็นต่างประเทศ ถ้าเราอยากเรียน เขาก็จะพาไปเรียนให้ ตอนนั้นเราเริ่มต้นลงเรียนเวิร์กช็อป เรียนการทำน้ำตาลปั้นที่กรุงเทพฯ จึงทำให้ได้รู้จักวิธีการทำน้ำตาลฟองดองต์ (Fondant Sugar) และได้รู้ว่าการทำเค้กสามารถต่อยอดเป็นงานศิลปะอื่น ๆ ได้ ซึ่งหลังกลับจากคลาสเรียนวันนั้น เราก็ได้ศึกษาค้นคว้า และลงเรียนคลาสเริ่มต้นไปจนถึงขั้นตอนที่ยากที่สุด แต่หลังเรียนจบ เราก็กลับมาอยู่บ้านที่ภูเก็ต ทำให้ไม่ได้ใช้ความรู้และได้ฝึกฝีมือเลย”

อย่างไรก็ดี ต่อมาฝ้ายก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศเบลเยียมกับสามี และได้ไปฝึกฝีมือการทำเค้กเพิ่มเติมกับคุณแม่ของสามีที่ชื่นชอบการทำเค้กและมีงานอดิเรกคือการเก็บสะสมอุปกรณ์ทำเค้ก ซึ่งอุปกรณ์เหล่านั้น ได้กลายเป็นสมบัติล้ำค่าของเธอในปัจจุบัน โดยเมื่อเธอเริ่ม “จับจุดชีวิตตัวเองได้” ก็ต่อยอดพัฒนามาตลอดจนถึงทุกวันนี้

“อยู่เบลเยียมได้ 4 ปีแล้ว ยอมรับว่าตอนแรกต้องปรับตัวเยอะมาก ทั้งภาษา อากาศ วัฒนธรรมที่ต่างกับไทย อีกทั้งอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ เราไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคมเลย ก็ต้องปรับตัวอยู่นาน 2 ปี แต่ก็ได้คุณแม่สามีคอยช่วย ซึ่งอยู่ที่นี่ เราเป็นแม่บ้าน และขายเค้ก เรามีลูกค้าเยอะ มีออร์เดอร์ตลอด แต่ต้องสั่งล่วงหน้า และถ้ามีโอกาสก็จะลงแข่ง เพราะเราคิดว่า ยิ่งแข่งจะยิ่งได้วัดฝีมือตัวเอง ไม่ได้อยากจะแข่งกับใคร ซึ่งการแข่งขันครั้งล่าสุดนี้ฮือฮามาก เพราะเป็นระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมีคนแข่งเยอะมาก” ฝ้ายกล่าว

กับลูก และสามีชาวเบลเยียม

พร้อมทั้งเล่าถึงความรู้สึกในการลงแข่งขันรายการใหญ่รายการนี้ว่า ก็เริ่มจากตั้งใจหาประสบการณ์และพัฒนาฝีมือตัวเอง ยอมรับว่าเธอรู้สึกตื่นเต้น เพราะปีนี้มีคู่แข่งโหด ๆ เก่ง ๆ และมีชื่อเสียงเข้าแข่งเยอะมาก บางคนเธอก็เป็นแฟนคลับติดตามผลงานอยู่ ซึ่งประสบการณ์ในการแข่งขันนั้น เธอแข่งมาแล้ว 2 สนาม โดยสนามแรกเธอได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และครั้งนี้คือสนามที่ 2 ที่เป็นการแข่งขันออนไลน์ เพราะศูนย์แข่งขันจริง ๆ อยู่ที่ประเทศตุรกี โดยผู้เข้าแข่งต้องส่งรูปกับวิดีโอแบบห้ามรีทัชไปทุกมุม และต้องทำคนเดียว ห้ามมีคนช่วย โดยต้องถ่ายคลิปตอนทำทุกขั้นตอนและทุกจุดที่ทำ แล้วส่งไปให้กรรมการตรวจสอบ ซึ่งกรรมการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิระดับโลก

“แรงบันดาลใจสร้างสรรค์ชิ้นงานนี้ เพราะเราชื่นชอบเทพธิดาจีน ด้วยความที่เป็นคนเชื้อสายจีน และทางบ้านมักจะพาลูกหลานไปไหว้ศาลเจ้า ทำให้เราเห็นรูปปั้นของเทพตามโต๊ะบูชาต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเทพผู้ชายและผู้หญิง แต่มีเทพธิดาองค์หนึ่งที่ติดตาตรึงใจเป็นพิเศษ เป็นเทพที่ยืนคู่กับองค์เจ้าแม่กวนอิม สิ่งแรกที่ทำคือ เราไปค้นหาประวัติของท่าน พบว่าตามตำนานเป็นบุตรสาวของพญามังกรองค์หนึ่ง นี่คือเหตุผลว่า ทำไมบนชิ้นงานนี้ถึงมีพญามังกร ซึ่งเทพธิดาองค์นี้มีชื่อว่า…หยกลู่เหนียวเหนียว“

สำหรับ “เบื้องหลังการทำงาน” จนเป็นผลงานที่ชนะใจกรรมการได้รางวัลชนะเลิศในรายการนี้ ฝ้ายบอกว่า เธอวางแผนโดยคิดอยู่นานเป็นเดือน โดยต้นแบบของเดิมจะมีขนาดใหญ่กว่านี้ และจะมีเจ้าแม่กวนอิม มีลูกศิษย์กับดอกบัวด้วย แต่กติกากำหนดขนาดเอาไว้ เธอจึงต้องลดขนาดให้เล็กลง โดยให้เหลือเทพธิดาองค์เดียว และแบบที่วางไว้เดิมนั้นตัวมังกรจะเป็นสีเหลือง ไม่ได้อยู่แบบนี้ ซึ่งเมื่อขึ้นโครงและทำไปได้ 50% ปรากฏว่า หัวมังกรอยู่ด้านล่าง เธอรู้สึกว่าไม่สวย จึงตัดสินใจรื้อทำใหม่ทั้งหมดเลย

บางส่วนของผลงาน

“ตอนประกาศผล ตอนนั้นลุ้นมาก ๆ เขาต้องประกาศชื่อคนที่ติดรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งในใจตอนนั้น แค่มีชื่อติดก็ดีใจแล้ว พอเขาประกาศว่าเราชนะเลิศ โอ้โห!!…กรี๊ดกันบ้านแทบแตกเลย” เธอเล่าถึงวันที่รู้ว่า ผลงานที่ตั้งใจทำนี้ชนะใจกรรมการ จนทำให้เธอ คว้ารางวัลชนะเลิศในรายการที่ “โหด-หิน” รายการนี้มาครองได้สำเร็จ

“ทีมวิถีชีวิต” ถามถึง “เป้าหมายต่อไป” โดย “ฝ้าย พรประภา” บอกว่า มาถึงวันนี้ได้ เธอเองต้องขอบคุณสามีที่สนับสนุนมาตลอด รวมถึงคุณแม่ของสามีด้วย ที่คอยให้กำลังใจกับเธอเสมอ ทำให้เธอเชื่อมั่นในตัวเองว่าทำได้

“แผนต่อไปที่คิดไว้คือ ต้นปี 2566 เราวางแผนจะลงแข่งอีก 2 งาน ซึ่งการแข่งสำหรับเรานั้น มันช่วยเปิดโลกให้เราอย่างมาก ทำให้ได้วัดฝีมือตัวเอง ทำให้อยากที่จะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา อีกทั้งการที่ได้ลงแข่งเป็นเหมือนการเติมเต็มหัวใจของเรามาก ๆ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้ทำในสิ่งที่เรารักมาก ๆ ที่ไม่เหมือนกับการทำเค้กให้ลูกค้าตามออร์เดอร์ เพราะการทำเค้กให้ลูกค้า ลูกค้าจะเป็นคนกำหนดทุกอย่าง แต่ในการแข่งขันนั้นเค้กที่ทำทุกก้อนคือ…

ตัวตนและชีวิตของเรา”.

‘เค้ก’ ตัวช่วย ‘ปลดล็อกชีวิต’

เมื่อมีรางวัลการันตีในฝีมือ “ฝ้าย พรประภา” บอกว่า เธอวางแผนอนาคตในอาชีพที่รักไว้แล้ว โดยตั้งใจจะเปิดร้านเค้กและอาจพัฒนาถึงเปิดโรงเรียนสอนทำ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนมาขอให้ช่วยสอน แต่เธอยังไม่มั่นใจ เนื่องจากฝังใจกับสมัยเด็ก ๆ ที่เป็นคนทำอาหารไม่เก่ง สมัยอยู่ที่บ้านก็จะมีคุณพ่อคุณแม่ทำให้กิน ทั้งนี้ เธอยังพูดถึง “ชีวิตปัจจุบัน” ว่า ตอนนี้ชีวิตโอเคมาก ๆ ซึ่งคำว่าสมบูรณ์นั้น เธอไม่รู้ว่าที่เรียกว่าสมบูรณ์นั้นควรจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ชีวิตมีความสุขกับครอบครัว และได้ทำในสิ่งที่รัก ได้ทำตามฝัน เธอมองว่านี่เป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของเธอแล้ว นอกจากนี้ เธอยังเผยความลับด้วยว่า ช่วงที่เริ่มใช้ชีวิตต่างแดนใหม่ ๆ เธอเป็น “โรคโฮมซิก” จนกลายเป็นคนเก็บตัว ไม่มีเพื่อน แต่ “เพราะเค้ก…จึงทำให้ก้าวข้ามพ้นมาได้” จนเรียกได้ว่า “ได้เค้กมาช่วยชีวิต” ทำให้ทุกครั้งที่มีปัญหาชีวิต เธอจะเข้าห้องทำเค้ก และจดจ่อกับชิ้นงาน จนลืมความเครียด-ลืมปัญหาที่เกิดขึ้น.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน