เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ จับกุมตัว นายพีรพงศ์ แข็งทฤทธิ์ หรืออุ้ม อายุ 24 ปี พร้อมอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ขนาด .38 ได้ที่บ้านพัก หลังจากเมื่อเวลา 02.00 น. ที่ผ่านมา ได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิง พลทหารศรรัก วิเศษพันธ์ อายุ 21 ปี ทหารเกณฑ์สังกัดกรมทหารอากาศโยธินรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน จนเสียชีวิต บริเวณทางเข้าปั๊มพีที ใกล้สี่แยกไฟแดงวัดขุนก้อง ในเขตเทศบาลนางรอง ถนนโชคชัย-เดชอุดม อ.นางรอง
นอกจากนี้ ตำรวจยังควบคุมตัวบุคคลในคลิปภาพบริเวณหน้าผับมาได้อีก 2 คน คือ นายเอกอาคม เนียมกุลชร อายุ 22 ปี และนายแดง (นามสมมุติ) เยาวชนอายุ 17 ปี มาสอบสวน โดยทั้งสองให้การกับตำรวจว่า พวกตนไปเที่ยวด้วยกัน 6 คน นั่งดื่มกินในผับตามปกติ จากนั้นได้มีผู้ตายมาด้วยกัน 2 คน มานั่งโต๊ะข้างๆ แต่ไม่รู้จักกันมาก่อน ตอนแรกทักทายกันดีชนแก้วกัน เวลาลุกเต้นชนกันก็ขอโทษกัน พอพี่ทหารเมาหนักขึ้นเริ่มมาถามหาเรื่อง ใช้คำว่า “มึงหิวพี่เหรอ” จากนั้นก็ใช้คำนี้มาโดยตลอดจนกระทั่งผับเลิกได้เดินออกมา ผู้ตายยังมาชวนชกต่อยใช้คำเดิม “มึงหิวกูเหรอ” ผู้ตายเริ่มกำมือเหมือนจะต่อย พวกตนจึงลงมือชกต่อยก่อนจะชุนมุลกัน จากนั้นการ์ดของร้านได้แยกกันแล้วให้กลุ่มพวกตนกับกลุ่มผู้ตายแยกออกกันไปคนละทาง ส่วนตนกับเพื่อนได้ขับรถกลับบ้าน หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทะเลาะกันในผับวัยรุ่นอริขับรถตามประกบยิง ทหารเกณฑ์ดับคาถนน
นายพีรพงศ์ มือปืน กล่าวว่า นั่งดื่มกินกัน จู่ๆ ผู้ตายมาหาเรื่องน้องจนเป็นเรื่องชกต่อยกันดังกล่าว แต่ตนยังแค้น จึงขี่รถตามไปใช้ปืนที่พกมาเพื่อป้องกันตัว เอามือซ้ายยิง มือขวาขับรถ นัดแรกยิงไม่ถูกจึงใส่กระสุนอีก 1 นัด ยิงคราวนี้ยิงถูกแล้วขี่รถกลับบ้าน ส่วนคนซ้อนท้ายตนคือ นายฉัตรกร สิงห์อยู่ หรือหมี อายุ 22 ปี ไม่รู้เรื่องว่าตนจะขี่ไปไหน
ขณะที่น้าชายของผู้เสียชีวิตที่นั่งซ้อนท้ายหลานไปขณะเกิดเหตุ บอกว่า ยอมรับว่าหลานน่าจะไปหาเรื่องฝ่ายนั้นก่อน แต่เป็นการทะเลาะกันตามประสาคนเมา ไม่น่าจะทำรุนแรงถึงชีวิต
เบื้องต้นตำรวจตั้งข้อหา นายพีรพงศ์ ฆ่าคนตายโดยเจตนา ส่วนคนอื่นจะทำการสอบสวนอีกครั้งว่ามีส่วนรู้เห็นหรือไม่ ถ้าไปยุ่งเกี่ยวจะแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
สำหรับนายพีรพงศ์ ผู้ต้องหา เคยต้องคดียาเสพติด เพิ่งออกจากเรือนจำเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา เคยบวชมาก่อน และล่าสุดโพสต์ Tik Tok กับเพื่อนอย่างสนุกสนาน ก่อนจะมาก่อเหตุหลังโพสต์ไม่กี่วัน.
