ก็ดังที่ทราบ ๆ กันจากรายงานข่าวของสื่อแขนงต่าง ๆ… อย่างไรก็ตาม กับเรื่องนี้ปัญหานี้ จะลดปัญหา-จะแก้ปัญหา การระดมกวดขันจับกุมดำเนินคดีแค่ในช่วงนี้คงไม่เพียงพอ…จะต้องดำเนินการเข้มงวดไปต่อเนื่อง… และเข้มงวดกวดขันจับกุมดำเนินคดีเฉพาะคนจีนที่เข้ามาทำผิดก็คงไม่เพียงพอเช่นกัน…จะ “ต้องจัดการปัจจัยเอื้อต่อการเข้ามากระทำผิด” ด้วย!!…

ปัญหานี้ “มิใช่แค่มีคนจีนเข้ามาทำผิด”

“ปัจจัยเอื้อ” ให้มาทำได้ “ก็ปมปัญหา!!”

จากกระแสอื้ออึง กรณีมีคนจีนเข้ามาตั้งแก๊งหาผลประโยชน์อย่างผิดกฎหมายในเมืองไทยนี้…ก็คงจะทำให้มีหลาย ๆ คนนึกถึงคำเก่าแก่คำว่า “อั้งยี่” ที่หมายถึง สมาคมลับของคนจีน และที่ในไทยเป็น ชื่อความผิดอาญา ฐานเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธี ดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย หรือที่เรียกว่า ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ …ซึ่งสำหรับคนที่นึกถึงคำ ๆ นี้ อย่างน้อยก็มีคนดังที่ออกมาแฉเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คนหนึ่งแหละ…

นอกเหนือจากการออกมาระบุเกี่ยวกับเรื่องนี้ปัญหานี้ดังที่ทราบ ๆ กันแล้ว…ทาง ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ยังได้สะท้อนไว้กับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” โดยหลักใหญ่ใจความนั้นมีว่า… คนจีนที่เข้ามาทำผิดกฎหมายในไทยนั้น ในอดีตมี “อั้งยี่” มี “ซ่องโจร” มีการตั้งโรงดูดฝิ่น ตั้งบ่อน ตั้งแก๊ง ไทยเลยมีการออกกฎหมายอั้งยี่ จนมาในปัจจุบันก็มี “ธุรกิจสีเทาทุนจีน” เข้ามาที่เมืองไทย และขยายตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน จีนทุนหนาหุ้นกับเจ้าพ่อเมืองไทยทำธุรกิจสีเทาครบวงจร ซึ่งจะเห็นว่า ทำอะไรก็มักจะโฉ่งฉ่าง และไม่ค่อยเกรงกลัว เพราะคิดว่าจ่ายได้?? …นี่เป็นพัฒนาการ “อั้งยี่” ยุดนี้สมัยนี้ ที่เป็นสมัย “โมเดิร์น”

“คนจีนผิดกฎหมายพวกนี้จะไม่ทำอะไรในประเทศตัวเอง เพราะทำได้ไม่ค่อยถนัด เพราะว่าเวลาถูกจับได้กฎหมายมันรุนแรง ฉะนั้นจีนพวกนี้จะอาศัยและทำในประเทศที่อ่อนแอ จะสังเกตได้ว่า คนจีนพวกนี้ไม่ไปหรอกอเมริกา หรือยุโรป สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็ไม่ไป แต่จะไปเขมร เวียดนาม ลาว และมาไทย…ที่พวกนี้คิดว่าจ่ายได้??”

ชูวิทย์ ระบุอีกว่า… คนจีนพวกนี้จะเข้ามาฝังตัว เมื่ออยู่นาน ๆ ก็จะรู้ช่องทางทำสิ่งผิดกฎหมายทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเปิด บ่อน ซึ่งเรื่องพนันต้องยกให้จีนเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว การออก เงินกู้เถื่อน ให้คนจีนด้วยกัน ให้เงินต้นไม่ครบแต่คิดดอกเบี้ยแพง ๆ หรือ จับตัวเรียกค่าไถ่ คนจีนด้วยกันก็มี และหลัง ๆ ก็ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พอหนัก ๆ เข้าก็ ค้ายาเสพติด ให้คนจีนด้วยกันในไทย ซึ่งคนจีนเสพยาไม่เหมือนไทย ยาบ้าก็ผสมเฮโรอีน หรือเอาฝิ่นมาสกัดทำเป็นน้ำชา และมีอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ที่แพร่หลายในหมู่คนจีนตามพื้นที่ที่มีโรงงานจีนเยอะ ๆ หรือศูนย์กลางของคนจีน ที่หลัง ๆ กระจายไปในหลาย ๆ จุด

“อย่างที่บอก อะไรที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย คนจีนพวกนี้กล้าทำ พวกนี้รู้ดี รู้ว่าใครใหญ่ และกล้าจ่าย จ่ายหนาด้วย… “การมาทำธุรกิจเถื่อนต่าง ๆ ในเมืองไทย หรือแม้กระทั่งฆ่าคน เพราะพวกเขารู้ว่าระบบบ้านเรามันอ่อนแอ เพราะคิดว่าทุกอย่างจ่ายได้?? เคลียร์ได้??…” …เป็นอีกส่วนจากหลักใหญ่ใจความจากการระบุไว้โดย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ 

ทั้งนี้ ในยุคปัจจุบันที่ประเทศไทยคาดหวังด้านเศรษฐกิจจากคนจีน แต่หลัง ๆ กลับมีคนจีนเข้ามาทำผิดกฎหมายในไทยมาก…ทาง รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ ก็ให้ทรรศนะกับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” โดยสังเขปมีว่า… คนต่างชาติที่เข้ามาในไทย รวมถึงคนจีน แน่นอนว่าก็มีทั้งคนดี และก็ “มีคนไม่ดีปะปนเข้ามา” ด้วย…เรื่องแบบนี้ทุกประเทศก็ล้วนต้องพบเจอกัน ซึ่งจริง ๆ คนดีที่เข้ามานั้นเยอะ ส่วนคนไม่ดีก็มีจำนวนหนึ่งแต่ถ้ามีคนจีนที่เข้ามาสร้างปัญหา แล้วเราจะห้ามไม่ให้คนจีนเข้ามา ก็ไม่ได้-ก็ไม่ใช่…“กรณีคนที่เข้ามาแล้วสร้างปัญหาให้ประเทศ เราก็จะต้องคอยเฝ้าระวัง มีกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ มีมาตรการ และมีการบังคับใช้กฎหมายในการเล่นงานคนเหล่านี้”

และ รศ.ดร.สมชาย ยังบอกว่า… ไม่เพียงการทำผิดกฎหมาย แต่รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่ควรทำหลายอย่าง เข้ามาแล้วสร้างความวุ่นวาย สร้างความเสื่อมเสีย สร้างความเสียหายต่อสถานที่ท่องเที่ยว ธรรมชาติ และวัฒนธรรมของไทย เรื่องนี้ทางประเทศไทยก็จำเป็นจะต้องมีการสร้างกฎ-มีการใช้กฎระเบียบควบคุม เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อไทย-ต่อภาพลักษณ์ไทย

ส่วนพวกที่เข้ามาทำธุรกิจไม่ถูกกฎ ผิดกฎหมาย ไทยต้องมีมาตรการ “ป้องปราม-ป้องกัน” ด้วย ต้องเร่งจัดการให้ดี ต้องป้องกันการเข้ามาของคนที่ไม่ดี ซึ่งก็สามารถตรวจสอบได้จากพาสปอร์ต ตรวจสอบประวัติได้ หากประวัติไม่ดีก็ต้องไม่ให้เข้ามา ต้องดำเนินการก่อนที่จะเกิดปัญหา ซึ่งถ้าปล่อยให้เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายได้ ผลกระทบกับประเทศไทยคือทำให้เกิดความเสียหายทั้งด้านภาพลักษณ์และเศรษฐกิจ เงินก็ไม่ได้เข้ามาในระบบในประเทศ ถ้าปล่อยให้มีการทำเช่นนี้ไทยจะเสียผลประโยชน์มากมาย ถ้าเข้ามาก่ออาชญากรรมก็จะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ สร้างความเสียหายให้กับคนไทย อย่างมาก!!

“เรื่องนี้ ก็ต้องบอกว่า…เป็นไปได้ว่าก็มีนักธุรกิจของเราเองไปร่วมมือ เป็นพันธมิตรกับเขา ไปรับจ้างเขาทำธุรกิจผิดกฎหมาย หรือมีคนที่มีอำนาจ มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวข้อง ไปร่วมมือกับเขาด้วย เพราะถ้าไม่มีคนในบ้านเราไปร่วมมือกับเขา เขาก็ไม่สามารถเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายได้” …ทาง รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ทิ้งท้ายไว้

กรณีปัญหา…“อั้งยี่โมเดิร์น-อั้งยี่ยุคใหม่”

“โทษเขาที่มาทำเช่นนี้ที่ไทย” นี่ “ไม่พอ”

“ก็ต้องโทษเราที่เอื้อ!!…ก็ต้องจัดการ!!”.