ถือเป็นชัยชนะที่มาได้ถูกจังหวะและเวลาสำหรับ ลิเวอร์พูล ในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดเปิดบ้านทุบ เรนเจอร์ส แบบนิ่ม ๆ 2-0 เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา

ที่บอกว่าเป็นชัยชนะที่มาได้ถูกเวลา เพราะนี่เป็นช่วงที่ทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ กำลังอยู่ในช่วงที่มีปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นที่แกว่งไปแกว่งมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นหลังจากพวกเขาผิดหวังที่ได้แค่แต้มเดียวจากการเปิดบ้านเสมอ ไบรท์ตัน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้นถ้านัดนี้ไม่ชนะอีก บรรยากาศแถวแอนฟิลด์ รวมถึงแถว ๆ เคิร์กบี อาจขมุกขมัวยิ่งกว่าเดิม

เกมนี้ คลอปป์ เลือกที่จะปรับแทคติกอย่างที่เขาพูดเอาไว้ในการแถลงข่าวก่อนเกม โดยถอดกองกลางจากระบบ 4-3-3 ออกไป 1 คน เหลือแค่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก อัลคันทารา แล้วใส่ ดีโอโก โชตา ลงมาเเป็นหน้าคู่กับ ดาร์วิน นูนเญซ โดยมี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ หลุยส์ ดิอาซ ประจำการริมเส้น

ถ้าจำกันได้ “หงส์แดง” ภายใต้การคุมทัพของ คลอปป์ เล่นในระบบ 4-3-3 มาต่อเนื่องยาวนาน เมื่อมีการปรับระบบ ซึ่งหมายความว่ารายละเอียดในการเล่น ทั้งเรื่องการยืนตำแหน่ง ไลน์การวิ่งมันมีการเปลี่ยน มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้เห็นความสับสน การวิ่งทับไลน์ และยืนทับตำแหน่งกันให้เห็น

โชคดีที่คู่แข่งในเกมนี้คือ เรนเจอร์ส ซึ่งคุณภาพเป็นรองพวกเขาอย่างชัดเจน “หงส์แดง” จึงเป็นฝ่ายครองเกมไว้ได้เกือบทั้งหมด ยิ่งได้ประตูนำเร็วจากฟรีคิกสุดงามของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ตั้งแตจ่นาทีที่ 7 งานจึงยิ่งง่ายขึ้นสำหรับเจ้าบ้าน

พูดถึง เทรนต์ ก็คงต้องแวะแสดงความยินดีกับเจ้าตัวเอาไว้ตรงนี้กับประตูที่เขาทำได้ เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เชื่อว่าเจ้าตัวคงโดนอะไรมาเยอะ ฟรีคิกแบบไร้ที่ติลูกนี้น่าจะช่วยฟื้นความมั่นใจกลับมาได้พอสมควรเลยทีเดียว

อีกหนึ่งจุดที่เป็นเครื่องหมายคำถามมาตลอดสำหรับ ลิเวอร์พูล ในช่วงหลัง คือเรื่องของเกมรับ ที่รั่วแบบเหลือเชื่อในช่วงหลัง โดยเฉพาะในเกมล่าสุดกับ ไบรท์ตัน ที่กองหลังผลัดกันแจวเรือออกทะเลจนทีมได้แค่แต้มเดียว

มาในเกมนี้ ถือเป็นเรื่องดีที่ทีมไม่เสียประตู แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเรื่องของคุณภาพคู่ต่อสู้ที่ยังอ่อนชั้น และแม้ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย เรนเจอร์ส จะมีโอกาสได้ลุ้นแบบจะ ๆ อยู่ 2-3 ครั้งก็ตาม แต่การเก็บคลีนชีตมันย่อมส่งผลเรื่องความมั่นใจ เหมือนการเอายาอุดแผล และน่าจะช่วยให้แผลมันสมานเร็วขึ้น

ส่วนในเกมรุก อย่างที่บอกว่าการเปลี่ยนระบบและแทคติกทำให้ไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร แต่กระนั้น ลูกทีมของ คลอปป์ ยังสร้างโอกาสยิงได้ถึง 24 ครั้ง แถมยังยิงเข้ากรอบถึง 10 ครั้ง โชคร้ายที่ อัลลัน แม็คเกรเกอร์ มือกาวจอมเก๋าของทีมเยือนผีเข้าเซฟอุตลุด

แต่หากมองอีกมุม การมีโอกาสยิงถึง 24 ครั้ง แต่กลับไม่มีประตูจากโอเพ่นเพลย์ (ลูก 2 ได้จากจุดโทษ) มันก็อาจเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่สักหน่อย

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแล้ว นี่คือชัยชนะสำคัญ นอกจากจะทำให้โอกาสเข้ารอบเปิดกว้างขึ้น มันยังมาถูกที่ถูกเวลา ช่วยทำให้ทีมยังอยู่ในโมเมนตัมที่ดีต่อไป

เพราะในช่วงเวลาที่ทีมยังห่างไกลจากฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุด แถมเพิ่งเป๋มาในเกมล่าสุด การเอาชนะได้นั้นคือเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะได้มันมาด้วยความสวยงามหรือไม่ก็ตาม…

เครดิตภาพ : REUTERS