ยังคงอยู่ในช่วงฤดูฝนที่ฝนยังคงกระหน่ำกันอยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะในระยะนี้ ที่ยังมีทั้งพายุ ทั้งหย่อมความกดอากาศต่ำต่างๆ ที่พาให้ฝนตกไม่เว้นแต่ละวัน จนเพิ่มโอกาสเสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้มากกว่าในช่วงฤดูอื่นๆ เนื่องจากสภาพถนนที่ลื่น และทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ ฉะนั้นวันนี้ “ช่างเอก” จึงขอแนะนำ 8 ออพชั่นที่เหมาะสำหรับเปิดใช้ในช่วงฝนตก ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่ได้มากขึ้นอีกด้วยครับ 

“ไฟตัดหมอกหน้า-หลัง” หากฝนตกหนักรุนแรง ควรเปิดไฟตัดหมอกควบคู่กันไปกับการเปิดไฟหน้าปกติ แม้จะเป็นการขับขี่ในเวลากลางวัน เนื่องจากลำแสงของไฟตัดหมอกจะพุ่งตรงไปข้างหน้าหรือหลังได้ดียิ่งกว่า ช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นคุณได้จากระยะไกลมากขึ้น

“ระบบหน่วงเวลาที่ปัดน้ำฝน” ดดยปกติแล้วรถส่วนใหญ่ถูกติดตั้งระบบที่ปัดน้ำฝนพร้อมระบบหน่วงเวลาปัดมาให้ ซึ่งสามารถปรับตั้งความถี่ในการปัดแต่ละครั้งได้เอง โดยหมุนปุ่มบริเวณก้านปัดน้ำฝน แต่สำหรับรถที่มีระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ปุ่มดังกล่าวจะกลายเป็นการปรับความไว (Sensitivity) ของการปัดแบบอัตโนมัติ

“ระบบป้องกันการชนด้านหน้า” พร้อมระบบช่วยเบรก จะช่วยลดความเสี่ยงการชนด้านหน้าหากทัศนวิสัยไม่ชัดเจนได้ โดยระบบจะแจ้งเตือนเมื่อรถคันหน้าเกิดเบรกกะทันหัน ตัวรถจะสั่งเบรกให้อัตโนมัติเพื่อลดความรุนแรงของการชนได้ โดยในรถยนต์บางรุ่น จะทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 15 กม./ชม., 50 กม./ชม. จึงควรศึกษาการทำงานระบบของรถตัวเองให้ดีเพื่อความปลอดภัย

“ระบบป้องกันรถออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ” จะส่งเสียงเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบว่ารถกำลังออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ซึ่งมีประโยชน์มากโดยเฉพาะเวลาที่ฝนตก เนื่องจากทัศนวิสัยที่ย่ำแย่อาจทำให้มองเห็นเส้นแบ่งเลนไม่ถนัด แต่ก็มีข้อควรระวัง หากเป็นถนนที่มีเส้นแบ่งเลนเลือนลาง หรือขาดหายไป ระบบก็จะตัดการทำงานโดยอัตโนมัติ และไม่แจ้งเตือนผู้ขับขี่แต่อย่างใด 

“ระบบควบคุมเสถียรภาพ” มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละค่าย เช่น ESP, DSC, VSA หรือ VSC เป็นต้น แต่หลักการทำงานของทุกยี่ห้อมีลักษณะคล้ายกัน โดยทันทีที่ตรวจพบว่ารถเกิดอาการเสียหลัก ระบบจะสั่งลดความเร็วล้อข้างใดข้างหนึ่งโดยอัตโนมัติ เพื่อดึงตัวรถให้กลับมาตั้งตรงเหมือนเดิม เมื่อระบบดังกล่าวทำงาน จะส่งสัญญาณกระพริบบริเวณหน้าปัด หรือบางรุ่นอาจมีเสียงเตือนให้ได้ยิน

“ระบบเบรก ABS” หรือ Anti-lock Brake System ที่ปัจจุบันแทบจะกลายเป็นระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานของรถไปแล้ว ซึ่งระบบนี้จะช่วยป้องกันล้อล็อกตายหากเบรกกะทันหันแบบเต็มแรง ทำให้ผู้ขับขี่สามารถบังคับทิศทางตัวรถได้ และใช้ระยะเบรกสั้นกว่าบนถนนเปียกลื่น โดยในขณะที่ระบบทำงานจะเกิดเสียงดังจากล้อเป็นจังหวะและแป้นเบรกจะมีอาการสั่นจนรู้สึกได้ แต่ไม่ต้องตกใจ ควรเหยียบแป้นเบรกต่อไป จนกว่าจะพ้นอันตราย

“ฮีทเตอร์ปรับอากาศ” ออพชั่นสุดท้ายที่หลายๆคนอาจจะมองข้าม แต่หากฝนตกหนักจนอากาศหนาวเย็นจนเกินไป ฮีทเตอร์ก็จะช่วยให้อบอุ่นขึ้นมาทันที

“ไล่ฝ้าหน้า-หลัง” หากฝนเทลงมาในวันที่มีสภาพอากาศเย็น มักจะก่อให้เกิดฝ้าบนกระจกหน้าและหลัง ซึ่งโดยทั่วไปการไล่ฝ้าด้วยการใช้ที่ปัดน้ำฝน จะทำให้ฝ้าหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็จะกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ฉะนั้นวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดก็คือการเปิดระบบไล่ฝ้าบริเวณที่มีหมอกขึ้น หากเป็นระบบไล่ฝ้ากระจกหน้า จะเป็นการดึงอากาศจากภายในรถมาเป่าไปบนกระจกหน้าเพื่อให้อุณหภูมิภายนอก-ภายในเท่ากัน ฝ้าก็จะหายไปในที่สุด ส่วนการทำงานของไล่ฝ้าหลังจะแตกต่างจากระบบไล่ฝ้าด้านหน้า เพราะใช้กระแสไฟวิ่งผ่านลวดทองแดงที่ฝังอยู่ในกระจกหลัง จะทำให้ฝ้าหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่หากเป็นรถรุ่นเก่าที่ไม่มีระบบตัดไล่ฝ้าอัตโนมัติแล้วล่ะก็ ควรรีบปิดทันทีเมื่อฝ้าหาย เพื่อป้องกันไม่ให้กระจกแตกเนื่องจากเปิดทิ้งไว้นานเกินไป

แม้ว่ารถยนต์ในปัจจุบัน จะมีออพชั่นที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้ขับขี่ต้องไม่ประมาท ปฏิบัติตามกฎจราจร ซึ่งเป็นพื้นฐานของความปลอดภัยทั้งปวงครับ…

…………………………………..
คอลัมน์ : รู้ก่อนเหยียบ
โดย “ช่างเอก”
ติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรงที่ [email protected]