นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้ธุรกิจไอทีทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบ จนทำให้ต้องปรับราคาขายเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ บราเดอร์ เลือกที่จะคงราคาขายผลิตภัณฑ์ในราคาเดิม เพราะเล็งเห็นว่าผู้บริโภคต่างก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ด้วยเช่นกัน เห็นได้จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุว่ายอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาสแรกของปี 64 ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 14.13 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90.5% ต่อจีดีพี สูงสุดในรอบ 18 ปี  และมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นตลอดปีนี้

“ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้หลายค่ายไอทีต้องปรับเพิ่มราคาสิ้นค้าเพิ่มขึ้น คือ ต้นทุนชิ้นส่วนที่ปรับราคาสูงขึ้นเนื่องจากการ ขาดแคลนบางชิ้นส่วน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด  รวมถึงปัญหาด้านการขนส่ง เพราะปัจจุบันตู้คอนเทเนอร์ที่ใช้ในการขนส่งสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งยังมีการปรับเพิ่มค่าระวางที่สูงขึ้น และปัจจัยที่สำคัญ คือ ผลกระทบจากภาวะค่าเงินบาทอ่อนตัวทำให้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5-6% โดยอัตโนมัติ”

นายธีรวุธ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาบราเดอร์ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ มาโดยตลอด ทำให้ในปัจจุบันแม้เกิดปัจจัยที่กระทบต่อโครงสร้างต้นทุน แต่บราเดอร์ก็ยังรับมือกับสถานการณ์ได้ คงราคาขายแม้ต้นทุนชิ้นส่วนและค่าขนส่งพุ่งสูงขึ้นท่ามกลางเงินบาทอ่อนค่า เพื่อไม่ให้เป็นการผลักภาระสู่ผู้บริโภค และยึดถือในการดำเนินธุรกิจที่ให้ความใส่ใจและพร้อมจะอยู่เคียงข้างผู้บริโภคในทุกช่วงเวลา เพื่อให้สินค้าคุณภาพทุกชิ้นและบริการหลังการขาย ได้เข้าไปมีส่วนช่วยให้ลูกค้าสามารถดำเนินชีวิต และดำเนินธุรกิจได้อย่างดีที่สุดแม้ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้สามารถก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ ไปด้วยกันได้อย่างดีที่สุด.