ถ้าไปพลิกดู บัญชีกองทะเบียนพล สำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ซึ่งประกาศรายชื่อข้าราชการตำรวจ ที่จะเกษียณอายุราชการในอีก 6 เดือนข้างหน้า จำนวน 5,739 ราย

จะพบว่าหนึ่งในนั้นมีชื่อ “บิ๊กแป๊ะ“ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา“ ผบ.ตร. ซึ่งเตรียมอำลาตำแหน่ง “แม่ทัพสีกากี” ในวันที่ 30 กันยายน 2563

แต่ถ้าหากนับถึงวันนี้  “พล.ต.อ.จักรทิพย์” มีอายุเกิน 60 ปีแล้ว เพราะเกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2502 ส่วนเหตุผลสำคัญ  ที่ยังไม่เกษียณอายุราชการเมื่อปีที่ผ่านมานั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าในระบบราชการไทยนั้น หากใครที่เกิดตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป จะได้รับการแถมอายุราชการให้แบบอัตโนมัติอีก 1 ปี อันสืบเนื่องมาจากการนับวงรอบปี ในวงราชการบ้านเรานั้น เริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม ไปจบวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป ดังนั้น ”บิ๊กแป๊ะ” เลยมีคิวเกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนปี 2563

ขณะเดียวกันเริ่มมีการคาดหมายกันแล้วว่า นายตำรวจคนใดจะเข้ามารับไม้ต่อจาก “บิ๊กแป๊ะ” เพราะตำแหน่งผบ.ตร. ถือว่ามีความสำคัญ  นอกจะเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญด้านความมั่นคง ยังมีภารกิจที่สำคัญหลายประการ ทั้งดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ  บังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม ยังต้องตอบสนองนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่

ยิ่งสถานการณ์ภายในประเทศนับจากนี้  ทุกหน่วยงานภาครัฐถือว่า มีความสำคัญทั้งสิ้นเนื่องจากทุกประเทศในโลกรวมทั้งไทยด้วย กำลังเผชิญกับ เชื้อไวรัสร้าย”โควิด-19“ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งเศรษฐกิจและสังคม นั่นหมายความว่า ทุกองคาพยพของภาครัฐจะต้องเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ ภายหลังสถานการณ์ของไวรัส เริ่มมีผลกระทบน้อยลง

นั่นหมายความว่า “ตร.“ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญ จะมีบทบาทมากเลยทีเดียว  ยิ่งหลายคนคาดหมายว่า ปัญหาเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน จะได้รับผลกระทบจาก “โควิด-19“ อาจทำให้เกิดคดีอาชญากรรม และคดีความต่างๆมากขึ้น ดังนั้น ”แม่ทัพสีกากี” ต้องรับบทหนักมาก กับการกำหนดโยบาย สำคัญกว่านั้นอย่าลืมว่า “พล.ต.อ. จักรทิพย์” ได้สร้างบรรทัดฐานไว้สูง ทั้งเรื่องความสามารถในการบริหาร และการคลี่คลายคดีสำคัญหลายคดี

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ คอนเนคชั่นของ “แม่ทัพสีกากี“ คนปัจจุบัน นอกจากจะเป็นที่ยอมรับบุคคลสำคัญในรัฐบาล  “พล.ต.อ. จักรทิพย์” ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ “บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์“  ผบ.ทบ.เพราะทั้ง “บิ๊กแป๊ะ” และ “บิ๊กแดง” เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 20 (ตท.20)

ดังนั้นใครอยากจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญ สมควรต้องศึกษา รูปแบบการบริหารงาน และการดำรงชีวิตของ ”บิ๊กแป๊ะ“ เป็นแบบอย่าง เพราะครบเครื่องในทุกด้าน จนนั่งอยู่ในเก้าอี้ ผบ.ตร.จนครบวาระ และยากที่จะที่ทำให้ “บิ๊กสีกากี“ หลายคนลอกเลียนแบบได้

ขณะที่แคนดิเดทนายตำรวจ ซึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็น “แม่ทัพสีกากีคนที่ 12“ ต้องบอกถึงวันนี้เหลือแค่  2 นายพลเท่านั้น 1. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก” รองผบ.ตร. ที่รับผิดชอบงานบริหาร เกษียณอายุราชการในปี 2564 2. พล.ต.อ. “สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” หรือ “บิ๊กปั๊ด” เพื่อนร่วมรุ่น นรต.36 กับ “พล.ต.อ.จักรทิพย์” ที่ผ่านมารับผิดชอบงานด้านความมั่นคงและสืบสวนสอบสวน โดยจะเกษียณอายุราชการในปี 2565

สำหรับ “พล.ต.อ.มนู” ได้รับมอบหมายให้มานั่งเป็น ประธานคณะกรรมการรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ซึ่งศูนย์ดังกล่าวทำหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง และมีประชุมทุกวันในเวลา 10.00 น. โดย พล.ต.อ.มนู จะเป็นผู้คอยรวบรวมและรายงานผลการปฏิบัติในส่วนต่างๆ ให้ ผบ.ตร.และรัฐบาลทราบ ซึ่งนายตำรวจท่านนี้ได้รับการยอมรับ เรื่องความสามารถในการบริหารงาน และมีบุคคลสำคัญให้การสนับสนุน

ส่วน พล.ต.อ.สุวัฒน์ ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ตร.  กำกับดูแล ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานอื่น สั่งการในภาพรวมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังได้รับภารกิจจาก กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) และประสานงานการปฏิบัติกับกลไกหลักของแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ผ่าน กอ.รมน.จังหวัด ขับเคลื่อนการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ฝ่ายปกครอง ทหาร และหน่วยร่วมปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง

ที่ผ่านมา “บิ๊กปั๊ด” ผลงานมีมากมาย เพราะมีความสามารถในด้านสอบสวน อีกทั้งมีส่วนในการคลี่คลายคดีสำคัญที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง รวมทั้งยังเป็นนายตำรวจที่ “พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้ความไว้วางใจมาโดยตลอด มอบหมายให้คลี่คลายคดีสำคัญ อย่างล่าสุดคือการกักตุนหน้ากากอนามัย

นอกจากนี้ “บิ๊กปั้ด” ยังได้รับการสนับสนุนจาก “ผบ.ทบ.” เพราะทำงานด้านความมั่นคงด้วยกันมาตลอด ซึ่งถ้าหากไม่มีปัจจัยแทรกซ้อน “พล.ต.อ. สุวัฒน์” น่าจะมีโอกาสได้รับตำแหน่งสำคัญก่อนเกษียณอายุราชการ แต่หลายครั้งการแต่งตั้งโยกย้ายในบ้านเรา มักมีเงื่อนไขพิเศษ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม

ถ้ายังจำได้ในการจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เมื่อปี 63 ของตร. ภายใต้ชื่อ “สามัคคี คือ พลัง” ด้าน “พล.ต.อ.จักรทิพย์” ได้กล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า “ผมจะอยู่กับท่านอีก 270 กว่าวัน จากที่เริ่มจาก 1,800 กว่าวัน อีก 270 กว่าวัน จะจากกันไป จะท่านรองฯมนู ก็ดี รองฯสุวัฒน์ก็ดี คนที่จะมาดูแลต่อไป จะจัดแบบนี้อีกหรือไม่ ก็เป็นหน้าที่ผู้บังคับบัญชาที่ต้องดูแล”

คำพูดดังกล่าวเหมือนเป็นการส่งสัญญาณ ให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้ว่า แม่ทัพสีกากีคนต่อไป คงหนีไม่พ้น “พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” หรือ “พล.ต.อ. มนู เมฆหมอก” สองรองผบ.ตร. ซึ่งได้รับการยอมรับจากแวดวงสีกากีทั้งคู่

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสังเกตคือ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีภาพที่แชร์กันในแวดวงสีกากี “พล.ต.ท. กรไชย คล้ายคลึง” จตร. ได้ยืนถ่ายรูปข้างรถกระบะที่มีข้อความ “รวมพลังคนไทยไม่ทิ้ง” พร้อมทั้งติดชื่อ “พล.ต.อ. มนู เมฆหมอก” และ  พล.ต.ท. กรไชย  คล้ายคลึง” ซึ่งเป็นรถที่นำอาหารไปแจกฟรีกับประชาชน ในช่วงเผชิญ ”โควิด-19“ ซึ่ง ”พล.ต.ท.กรไชย” เคยเป็นนายตำรวจชุดปราบปรามน้ำมันเถื่อนรวมกับ “พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย“ รอง ผบ.ตร.”

อย่างไรก็ตามล่าสุดมีข่าวว่า อาจมีความเป็นไปได้สูงว่า “พล.ต.อ. มนู” จะได้รับการผลักดันให้เป็นผบ.ตร. ต่อจาก “บิ๊กแป๊ะ” เป็น “ว่าที่แม่ทัพสีกากีคนที่ 12” เกษียณอายุราชการในปี 64 จากนั้นถึงคิว “บิ๊กปั๊ด“ ที่จะมีโอกาสดำรงตำแหน่ง 1  ปี ก่อนจะจบชีวิตราชการในปี  65

จากนี้ต้องจับตาดูว่า การเปลี่ยนแปลงของตร. ในอนาคต จะมีใครมาถือธงนำ เพื่อสร้างให้องค์กรเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป
……………………………….
คอลัมน์ สืบเสาะเจาะข่าว
โดย “ระฆังแก้ว”