มีข่าวศาลรัฐธรรมนูญเรียกประชุมนัดพิเศษวันนี้ 8 ก.ย. 65 หลังจาก นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (ใช้สิทธิประธานลงมติ 2 ครั้ง กรณีวาระ 8 ปี ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แต่ก็ยังแพ้โหวต 5 ต่อ 4 ที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดพักงาน จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยเมื่อ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา) แจ้งว่าได้รับคำชี้แจงจากพยาน 3 ปาก ทั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ถูกร้อง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ อดีตเลขาธิการ กรธ. เพื่ออภิปรายคำชี้แจงและหลักฐานต่าง ๆ ว่า สิ้นข้อสงสัยเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้วหรือไม่ หากยังไม่สิ้นข้อสงสัย ต้องแสวงหาหลักฐานและพยานเพิ่มเติมต่อไปหรือไม่

ทั้งนี้หากสิ้นข้อสงสัยจะนัดลงมติวินิจฉัยเร็วสุดอีก 14 วัน นับจาก 8 ก.ย.นี้ (คือพฤหัสฯ 22 ก.ย.)

ก่อนหน้านี้ นายวิษณุ เครืองาม เนติบริกร รองนายกฯ บอกนักข่าวว่า ในความเห็นตนคำชี้แจงกรณี 8 ปีของทีมกฎหมายนายกฯ พล.ต.วิระ โรจนวาศา (อดีต กรธ.) นั้น ฟังขึ้น ตอบได้ทุกประเด็นและตรงใจ หากเปิดเผยออกมา คนก็จะรู้ว่าชี้แจงขึ้น (แล้วทำไมไม่เปิดนะ) คำชี้แจงไม่ได้ระบุว่าควรนับอายุ 8 ปีเริ่มตั้งแต่เมื่อใด การชี้ชัดเป็นเรื่องของศาล

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี  เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอุปถัมภ์โครงการจัดทำพระไตรปิฎก ฉบับภาษาอังกฤษ  ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓

“แต่ชี้ชัดอย่างเดียวว่า ไม่ใช่วันที่ 24 ส.ค. 2557 แต่บอกไม่ถูกจะนับเมื่อใด” แต่เมื่อนักข่าวถามว่า มั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกฯ ต่อหรือไม่ นายวิษณุ กลับบอกว่า ไม่มั่นใจ ต้องแล้วแต่ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงจบแล้ว แต่สามารถชี้แจงเพิ่มได้อีก

อย่างที่รู้การนับอายุ 8 ปีเก้าอี้นายกฯ นั้น มีอยู่ 3 ทาง 1.นับจาก 24 ส.ค. 2557 ซึ่งจะครบวาระ 24 ส.ค. 2565 2.นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งจะครบวาระในปี 2568 และ 3.นับจากเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 ซึ่งจะครบวาระปี 2570 ซึ่งฝ่ายทำเนียบฯ ก็ยืนยันชัดแล้วว่า การเป็นนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ 5 ปีแรกในช่วงเป็นหัวหน้า คสช. ไม่นับเป็นนายกฯ จากที่นายวิษณุบอกมา

ขณะที่รายงานข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญ ก็บอกให้รู้ว่า ที่พรรคเพื่อไทยเสนอให้เอาแถลงการณ์ 51 อาจารย์คณะนิติศาสตร์จาก 15 มหาวิทยาลัยร่วมพิจารณาด้วยนั้น ไม่ได้รับการตอบสนอง รวมทั้งความเห็นของ อ.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย ซึ่งหนักแน่นชัดเจน
ก็ถูกเมิน โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงหนักหน่วงนั่นคือ เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่จะวางบรรทัดฐานไม่ให้นักการเมืองนั่งเก้าอี้นายกฯ เกิน 8 ปี ไม่ว่าจะเป็นต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผูกขาดอำนาจนั้น จะจบยังไง

รู้ ๆ อยู่ว่า เจตนารมณ์นั้นต้องการตีกรอบนักการเมืองค่าย ทักษิณ ชินวัตร เป็นหลัก แต่ขว้างงูไม่พ้นคอ เพราะไม่คิดว่า ระบอบประยุทธ์จะมาเจอ “ขวากหนาม” นี้เสียเอง

แล้ว จะเฉไฉกันยังไง?!? 

ที่มันกลายเป็นงานยาก เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวพาดหัว “เอกสารหลุด” เปิดบันทึกการประชุมครั้งที่ 500 ของ กรธ. นายมีชัย ได้ถามกรณีจะนับอายุ 8 ปีอย่างไร ซึ่ง นายสุพจน์ ไข่มุกด์ รองประธานบอกว่า ผู้ที่เป็นนายกฯ ก่อนรัฐธรรมนูญปี 2560 จะบังคับใช้ก็ต้องนับเวลารวมด้วย สะท้อนจาก บทเฉพาะกาล ม.264 ที่ให้ ครม. ก่อนหน้านี้เป็น ครม.ภายใต้ รธน. ปี 2560 ด้วย แม้นายสุพจน์จะบอกทีหลังว่า ไม่ใช่มติ แค่คำปรารภ แต่สังคมกลับเห็นว่าฟังไม่ขึ้น เพราะนี่คือ “ใบเสร็จ” มัดตัว ไม่ต้องเป็นนักกฎหมาย ก็อ่านเจตนารมณ์นี้ได้ชัดเจน คำชี้แจงจากนายมีชัยจึงสำคัญยิ่งยวด

นายมีชัยเคยกล่าวไว้ตอนหนึ่งในงานสัมมนากฎหมายที่จุฬาฯ ว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่ร่วมทำกฎหมายมหาศาลกว่า 2,000 ฉบับ ที่ใช้อยู่ แต่กฎหมายมากมายนี้ไม่ได้สร้างความสงบสันติอย่างที่คิดไว้ กลับสร้างความไม่เป็นธรรมอึดอัดขัดข้อง และนับวันยิ่งแย่ เพราะกฎหมายไปตกในมือคนที่ใช้เพื่อพรรคพวกตามวัฒนธรรมแบบไทย ๆ ไม่บังคับใช้อย่างที่ควรเป็น

“วันหนึ่งผมก็สำนึกบาป” เป็นคำสะท้อนจากใจในตอนนั้น

ล่าสุด มีข่าวนายมีชัยให้นับอายุนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ เม.ย. 2560 ซึ่งไม่รู้จริงหรือไม่ ถ้าจริงก็คงวุ่นวายอีกแน่ ก็ขอให้คำให้การปรมาจารย์เนติบริกรครานี้ เป็นการ “ไถ่บาป” เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อ อย่าเป็นการ “สร้างบาป” ซ้ำซากอีกเลย ไม่เช่นนั้น ที่บอกสำนึกบาป ก็แค่น้ำยาบ้วนปากเท่านั้น

——————————————–
ดาวประกายพรึก