น.ส.ชลิดา จันทร์สิริพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ในฐานะเลขานุการกลุ่มค้าปลีกและบริการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันยอดขายของกลุ่มค้าปลีกเหลือเพียง 10-20% ของช่วงปกติ ส่วนกลุ่มร้านสะดวกซื้อ ยอดขายลดลงเช่นกัน เนื่องจากไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมงเหมือนเดิม โดยในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา หรือตั้งแต่โควิด-19 ระบาดรอบแรกในประเทศในปี 63 จนถึงปัจจุบัน ยอดขายของกลุ่มค้าปลีกลดลงสูงถึง 270,000 ล้านบาท จากเดิมในปี 62 มียอดขาย 4.4 ล้านบาท แต่เหลือ 3.8 ล้านบาทในปี 63 ส่วนการล็อกดาวน์ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 13 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา และเพิ่มเป็น 29 จังหวัด ทำให้ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

“ตั้งแต่มีการระบาดของโควิดเราพยายามพยุงการจ้างงานมาตลอด ไม่อยากให้มีการเลิกจ้างงาน ในส่วนของเรามีผู้ประกอบการร้านค้าต่าง ๆ อยู่กว่า 1.2 ล้านราย และมีแรงงานไม่ต่ำกว่า 10 ล้านราย ซึ่งก็พยายามไม่ให้มีการเลิกจ้าง รวมทั้งช่วยซื้อผลผลิตการเกษตรที่ตกต่ำมาขายในห้าง ไม่มีการขึ้นราคาสินค้า แม้ว่าจะไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการรัฐ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับซอฟต์โลนแต่ภาครัฐก็จัดให้ไม่ทั่วถึง ซึ่งหากภายใน 30 วันนี้ยังไม่ได้รับการจัดสรรก็อาจทำให้ร้านค้าต่างๆ ในห้างปิดกิจการไปกว่าแสนราย ตอนนี้โรงงานผลิตสินค้าต่างๆ มีแรงงานติดเชื้อ ทำให้ต้องปิดโรงงานหลายแห่ง ซึ่งจะทำให้การส่งสินค้าให้ห้างล่าช้า และอาจมีปัญหาสินค้าหายไปจากชั้นวางในบางช่วง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงอาหาร ไม่มีปัญหาขาดแคลนเลย” 

นายสุรงค์ บูลกูล ที่ปรึกษาคณะกรรมการกลุ่มค้าปลีกและบริการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ข้อเสนอที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือ คือ ช่วยสนับสนุนการจ่ายคนละครึ่ง (โค-เพย์เมนต์) สำหรับค่าแรงให้พนักงานในกลุ่มค้าปลีก เพื่อรักษาการจ้างงาน เพราะขณะนี้ผู้ประกอบการกำลังจะหมดสภาพคล่อง, ขยายเวลาการลดภาษีให้ภาคเอกชนออกไปจนถึงปี 64 โดยเฉพาะภาษีที่ดิน ภาษีการค้า เพื่อรักษาสภาพคล่อง และมีเงินเลี้ยงดูพนักงาน

นอกจากนี้ลดค่าสาธารณูปโภค ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า เพราะเป็นค่าใช้จ่ายแบบฟิกซ์ คอสต์ ที่ลดไม่ได้ แม้ผู้ประกอบการมีรายได้ลดลงมาก, ขอให้ผ่อนคลายการขนส่งสินค้าในช่วงล็อกดาวน์ และเคอร์ฟิว โดยหากผู้ขนส่งมีใบสั่งซื้อสินค้า หรือมีสินค้าอยู่ ก็ให้จัดส่งได้ตามปกติ เพื่อให้สินค้าเข้าสู่ระบบได้ตามปกติ ไม่ขาดแคลน และขอให้พิจารณาให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบโด๊สแล้ว เข้าไปซื้อสินค้าภายในห้างสรรพสินค้าได้ตามปกติ เพื่อต่อลมหายใจภาคธุรกิจ 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการหรือโมเดิร์นเทรด ไตรมาส 2 ปี 64 ครอบคลุมโมเดิร์นเทรดกว่า 60% ของไทยทั้งห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต ไฮเปอร์มาร์เกต พบว่า อยู่ที่ระดับ 45.3 ถือเป็นดัชนีที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจในไตรมาส 3 ปี 61 เนื่องจากการระบาดของโควิดรอบ 3 ที่มีการระบาดเป็นวงกว้างและรวดเร็ว จำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต