…นี่เป็นประเด็นที่ต้องบอกว่า “น่าเสียดายยิ่ง!!” … เป็นข้อมูลจากการเผยไว้โดย พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธาน มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ในโอกาสสัปดาห์นมแม่โลก โดยทุกประเทศต่างก็รณรงค์ “ให้ทารกได้รับน้ำนมแม่” ซึ่งในไทยก็น่าจะได้ตระหนัก เพราะ…

“น้ำนมแม่” คือ “ธรรมชาติที่มหัศจรรย์”

“Super Food ของลูก” คือ “น้ำนมแม่”

ทั้งนี้ วันนี้ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ขอหยิบยกเรื่อง “น้ำนมแม่” มาสะท้อนไว้ในอีกมุม โดยเป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากเวทีเสวนาออนไลน์หัวข้อ “6 เดือนมหัศจรรย์ นมแม่ต้องห้ามพลาด ให้ทารกได้รับนมแม่ สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีส่งผลไปทั้งชีวิต” ที่จัดโดยมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ ร่วมกับ สสส. โดยที่…ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สสส. รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ ระบุขยายความประเด็นในตอนต้นไว้บางช่วงบางตอนว่า… ตัวเลขนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนที่ลดลงจนเหลือร้อยละ 14 นั้น ดูในรายละเอียดจะพบว่า ยังมีแม่อีกกลุ่มหนึ่งที่ให้ลูกกินทั้งนมแม่และน้ำ ซึ่งถ้าร่วมกันให้ความรู้กับแม่กลุ่มนี้ได้ ไทยก็มีโอกาสบรรลุเป้า “นมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ร้อยละ 50”

“การที่ทารกได้รับนมแม่และการเลี้ยงดูที่เหมาะสมอย่างมีคุณภาพ เป็นรากฐานที่จะพัฒนาให้เด็กไทยมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง มีพัฒนาการสมวัย และส่งผลดีรอบด้าน” …ดร.นพ.ไพโรจน์ ระบุไว้ ซึ่งนี่ก็เป็นการตอบโจทย์การที่ประเทศไทยตั้งเป้ากรณี “นมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ร้อยละ 50” ขณะที่ในเวทีเสวนานั้นก็มีข้อมูลขยายความไว้อีก…

 “ความเชื่อเรื่องหลังกินนมแม่แล้วลูกต้องกินน้ำเพื่อล้างปากถือเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เด็กทารกควรได้รับน้ำนมอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนโดยไม่จำเป็นต้องกินน้ำและอาหารเสริม เพราะในนมแม่มีทั้งสารอาหารที่เพียงพอ และมีภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ที่ส่งผ่านจากแม่สู่ลูกด้วย… เด็กที่กินนมแม่ไม่จำเป็นต้องให้น้ำ เพราะในนมแม่มีน้ำอยู่ถึงร้อยละ 83 ที่เหลือเป็นสารอาหาร ในนมแม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าสารสังเคราะห์ที่ใส่ลงไปในนมผสม นับไม่ถ้วน”…นี่เป็นการให้ความเข้าใจกรณี “ให้ลูกกินทั้งนมแม่และน้ำ” โดยประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ

“บางคนอาจเห็นว่านมแม่ดูใส ๆ แต่อยากให้มั่นใจว่าในนมแม่นั้นพอเหมาะพอเพียง เหมาะสมสำหรับลูก ขอให้เชื่อมั่นในนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน…” …ส่วนนี่เป็นข้อมูลขยายความเสริมไว้โดย รศ.พญ.สุดาทิพย์ โฆสิตะมงคล กุมารแพทย์ทารกแรกเกิด กรรมการวิชาการมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ อีกทั้งมีการให้ข้อมูลในประเด็นน่าสนใจเพิ่มเติมว่า… ไม่เพียงควรให้ลูกกินนมแม่ถึง 6 เดือน แต่ สามารถให้ลูกกินนมแม่ไปเรื่อย ๆ ถึง 2 ขวบ ซึ่งน้ำนมแม่เป็น Super Food “น้ำนมแม่” นั้น “เป็นของขวัญชิ้นแรกที่ดีที่สุดที่แม่ควรให้กับลูก” ทั้งยัง “เป็นวัคซีนคุณภาพ” ชั้นเลิศ…

“นมแม่มีภูมิคุ้มกันทำให้ลูกแข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย ลดโอกาสการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ช่วยให้ลูกมีโอกาสติดเชื้อและเข้าโรงพยาบาลน้อยกว่าการไม่ได้รับนมแม่” …รศ.พญ.สุดาทิพย์ ระบุไว้

และรวมถึง… เด็กที่กินนมแม่จะมี “IQ (ความฉลาดทางสติปัญญา)” และ “EQ (ความฉลาดทางอารมณ์)” มากกว่าเด็กที่กินนมผสม น้ำนมแม่ ส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์สุขภาพ ที่ช่วยกำหนดสุขภาพได้ในระยะยาว

ขณะที่กรณีนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ที่ทางประชาคมที่มุ่ง “สร้างสังคมนมแม่ที่ยั่งยืน” ตั้งเป้าให้ไทยมีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือนถึงร้อยละ 50 รวมถึงมีการให้ลูกกินนมแม่ต่อถึงอายุ 2 ขวบด้วย ภายในปี 2568 ซึ่งนี่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการ “สร้างสังคม
สุขภาวะ”
เป็นการ “สร้างพื้นฐานที่มั่นคงของประเทศ” นั้น เสียงจากเวทีเสวนาดังกล่าวก็ได้มีการระบุไว้ว่า… เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคนเป็นแม่เพียงคนเดียว หากแต่เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนในสังคมควรจะต้องช่วยกัน…

ส่งต่อความมั่นใจว่า “นมแม่ดีที่สุด”…

ช่วยคนเป็นแม่ให้ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ทั้งนี้ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ก็มีข้อมูลจากเวทีดังกล่าวมาเสริมเพิ่มเติมอีกส่วนเกี่ยวกับ “ความมั่นใจในน้ำนมแม่” ด้วย จากการระบุไว้โดย ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งบางช่วงบางตอนมีว่า… “แม้ลูกคลอดก่อนกำหนดก็สามารถเลี้ยงด้วยนมแม่ได้ ที่สำคัญลูกไม่เคยป่วยและนอนโรงพยาบาลเลย” และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นแม้จะมี “โควิด-19” ก็สามารถทำได้ สิ่งสำคัญคือครอบครัวต้องสนับสนุน และปัจจุบันก็ยังมี “คลินิกนมแม่” หลายแห่ง ที่จะคอยให้คำปรึกษา โดยพร้อมที่จะช่วยบรรดาคุณแม่ในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

และทิ้งท้ายด้วยข้อมูลน่าสนใจจากประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ พญ.ศิริพร กัญชนะ ที่ยังได้ระบุไว้อีกส่วนหนึ่งด้วยว่า… “เพราะนมแม่นั้นดีที่หนึ่ง เราต้องช่วยกันทำให้เด็กไทยทุกคนกินนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน โดยไม่ต้องเสริมน้ำหรืออาหารอื่น หลังจากนั้นจึงให้อาหารเสริมตามวัยและให้กินนมแม่ต่อจนถึงอายุ 2 ขวบ เราต้องช่วยกันทำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ ให้ลูกได้กินนมแม่อย่างมีความสุข เราต้องช่วยกันทำให้นมแม่

เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตด้วยสิ่งที่ดีที่สุด

เป็นรากฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืน…” .