เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่มีผลงานให้แฟน ๆ ได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานแสดงและงานเพลง สำหรับ ธัญญ่า-ดาราภัช ทวินันท์ หรือ “ธัญญ่า อาร์สยาม” ที่ล่าสุดกำลังมีผลงานภาพยนตร์ “เลิฟเลย 101” ที่จะเข้าฉายวันที่ 8 ก.ย. นี้ วันนี้ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดไปพูดคุยกับธัญญ่า ถึงบทบาทการแสดงครั้งนี้ รวมทั้งล้วงลึกชีวิตในวงการบันเทิง ทั้งดราม่ากับคุณแม่ ที่เจ้าตัวยอมเสียชื่อเสียง เพื่อให้แก้ปัญหาครอบครัวได้ ไปจนถึงเรื่องของการอัพลุคใหม่กับการศัลยกรรมจมูก รวมทั้งพลาดไม่ได้กับเรื่องความรักกับหนุ่ม อ๊อฟ-ศุภณัฐ เฉลิมชัยเจริญกิจ ที่ผ่านช่วงเวลาปรับจูนกัน จนวันนี้ธัญญ่ามั่นใจแล้วว่าคนนี้ฝากอนาคตได้และมีแพลนแต่งใน 1-2 ปีนี้! 

ผลงานล่าสุด “เลิฟเลย 101” ทำไมตัดสินใจมารับเรื่องนี้?

“ที่ตัดสินใจรับเรื่องนี้ หนึ่งเลยเป็นบทนางเอกเต็มตัวครั้งแรก และสองคือพระเอกคือพี่หม่ำ ซึ่งเป็นนักแสดงตลกชื่อดังที่สุด หนูรู้สึกเป็นเกียรติมากที่พี่หม่ำและผู้กำกับ (เอ็กซ์-วัชรพงษ์ ปัทมะ) เลือกเรา การรับบท “แพ็ต” ณ ตอนนั้นเราอายุ 22 ผ่านการเป็นวัยเรียนมาน่าจะ 3-4 ปี ด้วยวัยเลยเอาความเป็นตัวตน ความแก่นแก้ว และในคาแรกเตอร์จะพาเพื่อนดื้อ เป็นคนตรง ชอบก็บอกว่าชอบ กล้าแสดงออก บทนี้ไม่ได้ไกลตัวมาก แต่จะยากกับการเข้าฉากกับพี่หม่ำ ที่รับบทเป็นแฟน และพ่อสมรักษ์ คำสิงห์ ที่รับบทเป็นพ่อของเรา ทั้งคู่มีคาแรกเตอร์สนุกสนาน เราต้องกลั้นขำและมีสมาธิ อีกหนึ่งสิ่งที่ยากคือ พี่หม่ำเป็นผู้ใหญ่ที่เรานับถือแต่เราต้องตบหัว เล่นแรง ก็ยากตรงนี้ เราก็จะเกรงใจ”

ฉากกุ๊กกิ๊กในเรื่องนี้มีเยอะแค่ไหน เห็น “หม่ำ” บอกว่าไม่เอาฉากจูบเลย?

“ด้วยความที่ตัวละคร ยังอายุแค่ 17-18 เลยอยากมีความน่ารัก ไม่อยากให้มีการถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้น จะดูไม่เหมาะสม ส่วนเลิฟซีน ทีมงานบิลต์มาว่าเล่นยังไงก็ได้ให้พี่หม่ำเขิน เราก็จะเต็มที่ในเรื่องการส่งอารมณ์และส่งสายตาให้ดูว่าชอบเขามาก จนบางซีนพี่หม่ำก็สั่งคัตเอง ทีมงานก็ขำ ก็สนุกค่ะ พี่หม่ำน่ารักมาก บรรยากาศในกองเป็นกันเอง”

จากตัวอย่างที่ออกมา ซึ่งมีคนวิจารณ์ถึงเรื่องบทของรักต่างวัย ว่าดูไม่เหมาะสม เพราะเหมือนมีความเปโด (Paedophilia) และส่อไปในทางพรากผู้เยาว์ เรากังวลมั้ยว่ากระแสเหล่านี้ จะมีผลต่อภาพยนตร์ของเรา?

“มี 2 แง่เลย ส่วนใหญ่อยากให้ลองดูหนังก่อน ไม่เห็นแปลกตรงไหน กับรักต่างวัย ทุกวันนี้ก็มีเสรีทางความรัก แค่ต้องอยู่ในความถูกต้อง ถ้าบรรลุนิติภาวะแล้ว มันเป็นเรื่องที่ทุกวันนี้ไม่มีใครปิดกั้น ตอนแรกที่ได้ยินกระแสนี้ก็ตกใจ เราไม่ได้คิดเรื่องพรากผู้เยาว์ ด้วยความที่ตอนเราเล่น ก็ไม่ได้มีซีนที่พรากผู้เยาว์ แต่ไม่ผิดค่ะที่ทุกคนคอมเมนต์กัน เราจะได้ท้าให้ไปดู แล้วจะรู้ว่าเป็นยังไง ถ้าดูแล้วไม่โอเค คอมเมนต์ได้เต็มที่ อยากให้ไปดูก่อน หนังเรามีทุกอารมณ์ ทั้งรักโรแมนติก คอมเมดี้ เรื่องครอบครัว และอิสระเสรีภาพทางความรัก ทั้งรักต่างวัย และรักเพศเดียวกัน ถามว่ากังวลมั้ยว่ากระแสนี้จะมีผลต่อภาพยนตร์ ส่วนตัวหนูว่าทำให้คนอยากดูหนังเรามากขึ้น ว่าหนังของเราเป็นยังไง”

“ธัญญ่า” เคยมีประสบการณ์ “รักต่างวัย” บ้างมั้ย มีมุมมองกับเรื่องนี้ยังไง?

“ความรักต่างวัย ไม่ใช่เรื่องผิด ขอแค่ถูกที่ถูกเวลา และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร อยู่ในความถูกต้อง รวมทั้งรักเพศเดียวกัน หรือรักยังไงก็ได้ ยังไงก็คือความรัก ความรักที่ไม่เสียหาย ก็เป็นความรักที่ดีหมด ส่วนประสบการณ์รักต่างวัย ก็คือความจริงค่ะ (ยิ้ม) อย่างหนูกับพี่อ๊อฟห่างกัน 11 ปี คือหนูทำงานมาตั้งแต่เด็ก เลยชอบคนที่โตกว่าและเข้าใจ ช่วยเราในเรื่องของงานได้ เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา เลยชอบคนที่อายุเยอะกว่าแบบ 6-7 ปีขึ้นไปตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว”

อยู่วงการ 7 ปีแล้ว คิดว่าตัวเองเติบโตหรือได้เรียนรู้อะไรมากที่สุดจากวงการบันเทิง?

“ตอนแรกคิดว่าจะเป็นแค่นักร้อง (ยิ้ม) แต่ไม่คิดว่ามาทางการแสดงเยอะ พออยู่ไป ๆ หนูมีโอกาสทางการแสดงเยอะกว่า คนรู้จักธัญญ่าแต่ไม่รู้จักว่าร้องเพลงอะไร แต่รู้จักเพราะเราอยู่ตามสื่อ เลยรู้สึกว่าไกลเกินกว่าที่คิดมาก ขอบคุณผู้ใหญ่และแฟนคลับที่ยังอยู่กับเราจนถึงวันนี้ คิดตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในวงการแล้วว่าเราจะเป็นศิลปินที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ตรงต่อเวลา และเราก็ทำแบบนั้นมาจนถึงวันนี้ เลยทำให้เรายังอยู่ไปเรื่อย ๆ อาจไม่ได้พีคสุด ๆ แต่ก็อยู่ได้ตลอด เลยดีใจและภูมิใจในตัวเองค่ะ”

ขอถามถึงดราม่ากับคุณแม่ ตอนนี้เคลียร์ใจกันหรือยัง?

“ตอนนี้ก็เคลียร์หมดแล้ว อยู่กับคุณแม่ปกติ เราก็มีการคุยกันว่า ถ้าเกิดปัญหาอย่างนี้อีกรอบ เราจะทำยังไงต่อ ก็ถ้ามีอีกมันก็น่าจะมีทางออกที่ดี คงไม่เป็นเรื่องใหญ่และไม่ทะเลาะ มันเป็นข้อตกลงที่รับรู้ไปด้วยกัน มีวิธีแก้และรับมือกับปัญหาที่เราเจอมากขึ้น ซึ่งตอนที่มีข่าวว่าคุณแม่ออกจากบ้าน หนูไม่ได้ไปตามหา ปล่อยให้ทั้งสองคนได้แยกกันก่อน พอจิตใจดีขึ้นก็มาเจอกันในงานที่บ้านผู้ใหญ่ที่เราเคารพ ได้คุยกัน มันคิดถึงกันอยู่แล้ว แม่ลูกเนอะ เราไม่ได้เกลียดกัน แค่งอนเฉย ๆ และเป็นเรื่องที่เกิดซ้ำๆ บ่อย ๆ เราเลยนอยด์มาก แต่ตอนนี้โอเคแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว”

จากเหตุการณ์นี้ทำให้ต้องระวังในการโพสต์ต่าง ๆ ด้วยมั้ย เพราะหลังจากโพสต์ไปแฟน ๆ ก็ฮือฮา เป็นเรื่องใหญ่?

“ตอนนั้นก็คิดเยอะนะคะ หนูเป็นคนไม่โพสต์อยู่แล้ว เราระวังในการโพสต์ ถ้าย้อนไปหนูก็ยังโพสต์เหมือนเดิม เพราะว่าคือทางออกสุดท้าย ถามว่าต้องระวังมากขึ้นมั้ย คือวันนั้นก็ระวัง วันนี้ก็ยังระวัง และยังคงเหมือนเดิม ถ้าไม่หนักจริง ๆ หรือแค่เรานั่งร้องไห้ แฟนทิ้ง เราไม่โพสต์อยู่แล้ว เราไม่โพสต์สิ่งไม่ดีลงเฟซบุ๊กเลย แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นมันก็สอนเรา และการที่โพสต์มันเป็นเรื่องที่ตัดสินใจทำ เรารู้ว่ามันไม่ได้เกิดผลดีกับครอบครัว กับชื่อเสียงเรา แต่มันเกิดผลดีกับการแก้ปัญหาของเราอย่างชัดเจน ย้อนกลับไปหนูก็โพสต์เหมือนเดิม เพราะทุกวันนี้มันดีมาก ๆ เลยที่หนูโพสต์ไป”

แปลว่า “ธัญญ่า” คิดแล้วว่า ชื่อเสียงของเราก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าการได้แก้ไขปัญหาในครอบครัว?

“ใช่ค่ะ ที่หนูโพสต์ก็เพราะหนูรักแม่ ก่อนหน้านี้มันก็แคร์ชื่อเสียงอยู่แล้ว แต่ว่าหนึ่งสองสามที่ทุกคนพิมพ์มาว่าทำไมไม่ทำแบบนี้ เป็นร้อยข้อหนูทำมาหมดแล้วไง อันนี้คือข้อสุดท้ายและมันก็จบ”

เห็นเพิ่งไปทำจมูกมาใหม่ ทำไมตัดสินใจไปทำ?

“ตอนแรกไม่เคยคิดจะทำเลย แต่พอหลัง ๆ มาเริ่มคิดว่าถ้าทำแล้วสวยขึ้นจะดีมั้ย เลยเริ่มถามหมอดู และถามพระ เพราะเราเป็นสายมูอยู่แล้ว เราเชื่อเรื่องดวงและโหงวเฮ้ง คนส่วนใหญ่ก็บอกว่าถ้าทำแล้วจะดี เลยคิดว่าดีกว่า ก็มีแอบนอยด์บ้างที่คนบอกว่าจำเราไม่ได้ (หัวเราะ) คือเราอยากให้งานออกมาดีด้วย คือแต่ก่อนสังคมไม่ค่อยเปิดรับเรื่องศัลยกรรม หนูจะโดนตลอดเลยว่าหน้าธรรมชาติสวยกว่า อย่าไปทำอะไรอีก จะมีคอมเมนต์แบบนี้ตลอดเลยว่าน่ารักแล้ว แต่พอการศัลยกรรมเปิดกว้างมากขึ้น ครั้งแรกที่หนูถ่ายรูปลงโซเชียล ทุกคนบอกว่าอยากไปทำจมูก ทำแล้วหน้าเปลี่ยนขนาดนี้เลยเหรอ ยอดกดแชร์เยอะมาก และคนชอบ ทำให้เรารู้แล้วว่าสังคมเปิดกว้างมากขึ้น ไม่มีคอมเมนต์ที่บอกว่าไม่สวยเลยจริง ๆ อยู่ที่ความชอบและเสรีภาพ อยากทำอะไร ถ้าเราคิดว่าสวยแล้ว ก็ไม่ต้องทำ แต่ถ้าคิดว่าเราสวยได้อีก เราก็ทำ มีแค่นี้เลย มั่นใจในตัวเอง เงินก็เงินเราเนอะ เราทำได้เต็มที่ไม่สวยก็ทำใหม่เท่านั้นเอง”

อัพเดทความรักกับ “อ๊อฟ” บ้าง คบมา 3 ปีกว่าแล้ว ยังมีอะไรต้องปรับอีกบ้าง?

“ตอนแรกเหมือนไม่มี แต่สุดท้ายมีสิ่งที่ต้องปรับกัน คือเราพูดเยอะไป ตรงเกินไป และอารมณ์ปรี๊ดปร๊าด แต่เขาไม่พูดในสิ่งที่ไม่ชอบ เก็บเงียบ พอเราไม่รู้ว่าเขาไม่ชอบ เราก็ทำอยู่นั่น มันเลยกลายเป็นปัญหาสะสมในสิ่งที่เขาไม่ชอบ วันนึงมันระเบิดออกมา เราก็ตกใจว่าเธอไม่ชอบอันนี้เหรอ เราไม่รู้ มันต้องปรับจูน นั่งคุยกันใหม่ค่ะ ซึ่งพี่ลาล่า (อาร์สยาม) จับเราแยก เลิกติดต่อ ไม่เจอกันเลย 7 วัน ให้เราไปทบทวนว่ายังรักกันอยู่หรือเปล่า ด้วยความที่สามปีกว่า มันจะมีอะไรที่เราเคยทำแต่ไม่ทำ ความชินชา ทะเลาะกันจนหาจุดไม่ได้ เลยต้องแยกและทบทวนก่อน ซึ่งพี่ล่าเป็นตัวกลาง รักกันแต่หาจุดไม่ได้ พอเรามีตัวกลาง เราเริ่มโดนให้ทบทวนและให้ข้อคิด ครบ 7 วันก็มานั่งคุยกันในสิ่งที่ไม่โอเคต่อกัน พร้อมที่จะปรับไปด้วยกัน ได้เรียนรู้และปรับอารมณ์ตัวเอง ศึกษาในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ปรับจูนเข้าหากัน ตอนนี้แฮปปี้ดี”

ช่วงนี้เรามาแนวเซ็กซี่ขึ้น “อ๊อฟ” มีหวงมั้ย?

“ไม่ค่ะ เราให้อิสระกัน ไม่ค่อยมีห้ามกันว่าอย่าทำอันนี้ มีสิ่งเดียวที่หนูห้ามเขา คืออย่าไปรายการชกมวย เท็นไฟท์เท็น นั่นเป็นสิ่งที่หนูห้ามเพราะหนูรู้สึกว่าเราเห็นเขาเจ็บไม่ได้ และรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายสายอ่อนหวาน นิดเดียวก็เจ็บแล้ว เลยรู้สึกว่าอย่าเลย นอกนั้นเราให้อิสระ ไม่ว่าจะเป็นการไปไหน การแต่งตัว ใครชอบอะไรก็จะให้อิสระกัน ส่วนเวลาที่โพสต์รูปเซ็กซี่ลงโซเชียล แรก ๆ ก็มีส่งให้เขาดูก่อน แต่พอหลัง ๆ มาเราส่งรูปไหนไปก็ผ่านหมด เลยไม่ส่ง เรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีปัญหาเรื่องการลงรูป เพราะเราก็สแกนตัวเองอยู่แล้ว เราไม่ใช่สายโป๊ไปเลย เราดูตามความเหมาะสม แต่การที่ส่งให้เขาดูก็เป็นการให้เกียรติเขา แต่พอหลัง ๆ มาเขาไม่ได้อะไร ส่วนใหญ่เขาเป็นคนถ่ายให้ด้วยค่ะ”

สิ่งที่ประทับใจในตัว “อ๊อฟ” ที่สุดคืออะไร?

“พี่อ๊อฟยังอยู่กับเราในวันที่เราแย่ที่สุด นี่คือสิ่งที่เราประทับใจในตัวเขา เขาอยู่กับหนูในตอนที่หนูมีปัญหาครอบครัว มีปัญหาการเงิน ชีวิตเขาดีอยู่แล้วแต่เขาต้องเข้ามารับรู้ปัญหาเราทุกอย่าง เลยทำให้เรารู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้กับเราก็ได้ แต่เขายังอยู่ในตอนที่ปัญหารุมเร้าเรา มันเป็นปัญหาที่น่าปวดหัว และเขาก็ไม่ไปไหนจนถึงตอนนี้”

เรื่องนี้ตอกย้ำให้เรารู้สึกว่า ฝากอนาคตกับ “พี่อ๊อฟ” ได้ใช่มั้ย?

“ก็ตอกย้ำได้ เรามั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวันว่าคงจะเป็นคนนี้ แต่ในอนาคตข้างหน้า เรายังไม่รู้ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้แฮปปี้ดี ส่วนเรื่องแต่งงานก็มีคุยกันนานแล้ว หนูชอบวาดฝันอนาคตตัวเองตั้งแต่เด็กว่าอายุก่อน 25 ปี ต้องมีบ้านมีรถ เราก็ทำได้มาตลอด เราวาดฝันอายุ 28-29 เราอยากมีครอบครัว และก็บอกเขามาตลอดว่าเราวางไว้ประมาณนี้ ตัวเขาก็วางไว้ประมาณก่อนอายุ 40 มันก็อยู่ในช่วงราวเดียวกัน เลยลงตัวในระยะเวลานั้น ซึ่งที่แพลนกันเอาไว้ ถ้ามันยังโอเคอยู่ น่าจะปลายปี 66 หรือ 67 ประมาณปีสองปีนี้ จริง ๆ หนูอยากมีเงินและบ้านหมดก่อน ถึงจะรู้สึกว่าพร้อมแต่งจริง ๆ แต่ถ้าเขาพร้อม เราก็พร้อม เพราะการแต่งงานไม่ใช่ต้องหยุดทุกอย่าง มันยังทำงานได้อยู่ค่ะ”

ท้ายสุดนิยาม “ความรัก” ของ “ธัญญ่า” ณ วันนี้?

“เราต้องการคน ๆ นึงที่อยู่กับเราในตอนที่เราแย่และเป็นเซฟโซนให้เรา คอยให้ความห่วงใย ดูแลในตอนที่แย่ ไม่มีใคร อย่างน้อยเรายังมีเขา นั่นคือความรักที่แท้ของเรา ดูกันในตอนที่ลำบาก แค่นั้นเลยค่ะ”

ทุกปัญหาหล่อหลอมให้ “ธัญญ่า” เติบโตในเส้นทางสายนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอเผชิญหน้าและผ่านพ้นทุกอุปสรรคได้อย่างแข็งแกร่ง ก็ต้องยกเครดิตให้แฟนหนุ่ม “อ๊อฟ” ที่เคียงข้างเธอไม่ห่างหายจริง ๆ.

วันวิสาข์ ดอกเงิน